CEO Talk : ไพโรจน์ ชื่นครุฑ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกลยุทธ์ และวางแผนธุรกิจองค์กร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)
ไพโรจน์ ชื่นครุฑ
ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกลยุทธ์
และวางแผนธุรกิจองค์กร
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)
เร่งเครื่องแผน 3 ปี
พา “กรุงศรี” สู่ธนาคารภูมิภาค
“กรุงศรีในวันนี้พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง โลกเปลี่ยนแปลงเร็วมาก การวางยุทธศาสตร์ต้องมองภาพแบบ Resilience คือเมื่อทรุดแล้วต้องฟื้นให้เร็ว ต้องมองให้รอบด้าน Core Business ของเดิมต้องเปลี่ยนแปลงและสร้างของใหม่ที่จะเป็นโอกาสสร้างรายได้แบบใหม่ๆ ของกรุงศรี เป็นการเดินขนานสองทาง สร้างอนาคตและพัฒนาปัจจุบันไปด้วยกัน”
ปี 2564 เป็นปีแรกที่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
(กรุงศรี) เริ่มแผนงานธุรกิจระยะกลาง (2564-2566) ที่มีเป้าหมายสู่การเป็น
“สถาบันการเงินไทยที่เป็นที่หนึ่งในใจลูกค้า พร้อมเชื่อมโยงความต้องการของลูกค้าทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน”
ซึ่งกรุงศรีประสบความสำเร็จในหลายเรื่อง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสริมสร้างประสิทธิภาพและการขยายธุรกิจสู่อาเซียนที่ล่าสุดได้เข้าสู่ประเทศเวียดนาม
ซึ่งถือเป็นประเทศที่ 5 ในภูมิภาคอาเซียนของกรุงศรี
นอกจากนี้ กรุงศรียังสร้างระบบนิเวศและพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ๆ
(Eco Systems and
Partnerships) ในกลุ่มยานยนต์ ที่อยู่อาศัย และการพาณิชย์ (Mobility, Living, Commerce) ซึ่งเป็น
3 ระบบนิเวศหลักที่พัฒนาขึ้นมาจากการดำเนินชีวิตของลูกค้าในปัจจุบัน
อีกทั้งกรุงศรียังเดินหน้าตามแนวทางการทำธุรกิจเพื่อความยั่งยืนที่เน้นในด้านสิ่งแวดล้อม
(Environmental) สังคม
(Social) และธรรมาภิบาล
(Governance) หรือ
ESG
ไพโรจน์ ชื่นครุฑ
ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกลยุทธ์และวางแผนธุรกิจองค์กร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด
(มหาชน) มีบทบาทสำคัญในการวางกลยุทธ์ให้กรุงศรีมุ่งสู่การเป็นธนาคารแห่งภูมิภาคตามแผนที่วางไว้
ไพโรจน์
ได้รับตำแหน่งประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกลยุทธ์และวางแผนธุรกิจองค์กร ตั้งแต่วันที่
1 มกราคม 2563 รับผิดชอบด้านทิศทางและกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของธนาคาร 9 สายงาน
ได้แก่ สายงานวางแผนองค์กร สายงานปฏิรูปธุรกิจองค์กร สายงานบริหารประสบการณ์ลูกค้า
สายงานบริหารแบรนด์และการตลาดองค์กร สำนักบริหารโครงการด้านความเสี่ยงและการเงิน
สายงานบริหารระเบียบคำสั่งธนาคารและกระบวนการทางธุรกิจ สายงานวิจัย
สายงานอำนวยการกลาง และสายงานการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลสู่ความยั่งยืน
ไพโรจน์
มีประสบการณ์ด้านธุรกิจการเงินเพื่อรายย่อยและการบริหารจัดการในหลากหลายองค์กร
ทั้ง กรุงศรี ออโต้ บริษัท จีอี แคปปิตอล ออโตลีส จำกัด (มหาชน) และ บริษัท จีอี
มันนี่ จำกัด ผลงานโดดเด่นทั้งการริเริ่มบริการการเงินครบวงจรผ่านช่องทาง B2B และ
B2C
โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อคนมีรถ หรือ ‘Car for Cash’ และ
กรุงศรี ออโต้ พร้อมสตาร์ท (Krungsri
Auto PromptStart) ซึ่งเป็นสินเชื่อยานยนต์ระบบดิจิทัลที่เปิดตัวเป็นแห่งแรกและการให้บริการระบบการให้ความยินยอมในการเปิดเผยข้อมูลในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์
(e-Consent) ผ่านระบบอินเทอร์เน็ตเพื่อสินเชื่อยานยนต์เป็นครั้งแรกในไทย
“เป็นเวลา 2
ปีแล้วที่ได้เข้ามารับตำแหน่งด้านกลยุทธ์และวางแผนธุรกิจองค์กร
ซึ่งก็ทำให้ได้มองในมุมกว้างมากกว่า
จากเมื่อก่อนที่จะอยู่ในกลุ่มธุรกิจด้านยานยนต์เป็นหลัก
ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีและได้ทำงานร่วมกับ MUFG มากขึ้นด้วยทำให้ได้เรียนรู้มุมมองการทำงานระดับโลก”
ไพโรจน์เล่าว่า มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล
กรุ๊ป (MUFG) เป็นองค์กรด้านธนาคารที่เป็นระดับโลก
ซึ่งเป็นส่วนผสมที่เข้าได้พอดีกับธนาคารกรุงศรีอยุธยาด้วย
ยิ่งได้ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดทำให้มีมุมมองร่วมกันชัดเจนมากกว่าเดิม
จึงเป็นที่มาของแผนระยะ 3 ปี (2564-2566) ที่จะครบในปี 2566 ทำให้ในปี 2565
เป็นปีที่มีความสำคัญสำหรับกรุงศรี
เพราะเป็นช่วงกลางของแผนที่ต้องเร่งสปีดเพื่อให้บรรลุผลตามแผนที่วางไว้ในปีหน้า
“ยุทธศาสตร์ระยะ 3
ปีของธนาคารเป็นการวางแผนโดยมองไปข้างหน้า จึงเป็นที่มาของเป้าหมายในการเป็น
สถาบันการเงินไทยที่เป็นที่หนึ่งในใจลูกค้า
พร้อมเชื่อมโยงความต้องการของลูกค้าทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน
ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะทำได้ตามแผนเพราะกรุงศรีไม่ได้เดินไปคนเดียว แต่มีแม่อย่าง MUFG พร้อมไปกับกรุงศรีด้วย”
ยึด 3 แกนหลัก
ปักธงอาเซียน
ไพโรจน์กล่าวว่า ในปี 2565
ที่เป็นช่วงกลางของแผนระยะ 3 ปีนั้น กรุงศรีจะโฟกัสที่ 3 แกนหลักคือ แกนที่ 1
การพาลูกค้าไปให้ไกลกว่าประเทศไทย (Beyond Thailand) ด้วยการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายที่เข้มแข็งของ
MUFG และความแข็งแกร่งของกรุงศรีในการเชื่อมโยงตลาดในภูมิภาคอาเซียน
(ASEAN Connectivity)
โดยจะแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก
กรุงศรีเข้าไปทำธุรกิจด้วยตัวเองก่อน
ซึ่งมีประเทศเป้าหมายที่เคยมีธุรกิจอยู่ก่อนแล้วและจะต่อยอดจากสิ่งที่ธนาคารมีความเชี่ยวชาญคือ
การให้บริการการเงินสำหรับลูกค้าบุคคล ตามที่ได้ประสบความสำเร็จจากการทำธุรกิจใน
สปป.ลาว
ที่เริ่มจากสินเชื่อรายย่อยแล้วก็ขยายไปยังบริการลูกค้าเอสเอ็มอีและรายใหญ่ได้
นอกจากนี้ ยังมีเมียนมา
ที่มีสำนักงานตัวแทนและให้สนับสนุนลูกค้าธุรกิจที่อยู่ในเมียนมา
แต่ตอนนี้ด้วยสถานการณ์ในประเทศของเมียนมาอาจจะต้องชะลอไปก่อน แต่เชื่อว่าจะกลับมาได้อีกครั้งในอนาคต
ส่วนอีกประเทศคือ กัมพูชา ที่มี Hattha Kaksekar Limited (HKL) สถาบันการเงินประเภทไมโครไฟแนนซ์ที่เพิ่งได้รับอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินธุรกิจธนาคารพาณิชย์ในกัมพูชาภายใต้ชื่อ
Hattha Bank Plc. ซึ่งเดิม
Hattha Kaksekar ได้ให้บริการทางการเงินแก่ลูกค้าชาวกัมพูชามายาวนานกว่า
26 ปี และกรุงศรีเข้าซื้อกิจการของ HKL ในปี 2559
ขณะที่ใน ฟิลิปปินส์
ได้ทำในลักษณะร่วมทุนระหว่าง กรุงศรี และ ซีเคียวริตี้ แบงก์ คอร์ปอเรชั่น (SBC) ฝ่ายละ
50% ลงทุนใน บริษัท เอสบี ไฟแนนซ์ คอมปานี อิงค์ (SBF) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในเครือ SBC ที่ให้บริการด้านสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค
ทั้งสินเชื่อส่วนบุคคล และกรุงศรีได้นำคาร์ฟอร์แคช (Car4Cash) เข้าไปให้บริการในประเทศฟิลิปปินส์แล้ว
โดยในปีนี้จะเริ่มเน้นเรื่องโมบายล์แบงกิ้งมากขึ้นและเตรียมจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ
อย่างต่อเนื่อง
และประเทศล่าสุดคือ เวียดนาม
ซึ่งเป็นประเทศที่กรุงศรีใช้ความพยายามมานานในการหาพันธมิตรและโอกาสที่จะเข้าไปลงทุน
จนกระทั่งได้เป็นพันธมิตรกับ VietinBank
ในเวียดนาม และในปีที่ผ่านมาได้เข้าซื้อกิจการ SHB Finance จาก
Saigon-Hanoi Commercial
Joint Stock Bank (SHB) ธนาคารพาณิชย์ร่วมทุนที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5
ในประเทศเวียดนาม โดยขณะนี้กำลังรอการอนุมัติจากธนาคารกลางของเวียดนาม
ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเดินหน้าธุรกิจในเวียดนามได้ภายในปีนี้
ทั้งนี้
SHB Finance โดดเด่นในเรื่องสินเชื่อส่วนบุคคล
และมีแผนที่จะทำธุรกิจบัตรเครดิต และการพัฒนาช่องทางดิจิทัลต่างๆ
ซึ่งกรุงศรีมองว่า แอป UCHOOSE
ที่เป็นเครื่องมือบริหารเรื่องบัตรเครดิตอยู่แล้วก็สามารถนำไปต่อยอดในเวียดนามได้ด้วย
“กรุงศรีมองโอกาสในเรื่องเทคโนโลยีและมีแอปพลิเคชั่นผ่านโมบายล์อยู่แล้ว
ทั้ง KMA, UCHOOSE, Go
App และ Kept ซึ่งอยากขยายให้แพลตฟอร์มที่กรุงศรีมีอยู่สามารถสร้างขนาดที่ใหญ่ขึ้นเพราะมองว่ามีศักยภาพที่จะออกไปในระดับภูมิภาคได้
โดยต้องมองว่าอันไหนเหมาะกับประเทศไหน นับว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
สร้างประโยชน์ไม่ใช่แค่ในเมืองไทย แต่ใช้ในภูมิภาคได้ด้วย”
โดย
KMA เป็นแอปพลิเคชั่นโมบายล์แบงกิ้งหลักของธนาคาร
UCHOOSE เป็นแพลตฟอร์มด้านบัตรเครดิต
Go App แพลตฟอร์มด้านสินเชื่อรถยนต์
และ Kept แอปพลิเคชั่นสำหรับออมเงินและบริหารเงิน
สำหรับประเทศต่อไปที่กรุงศรีให้ความสนใจคือ
อินโดนีเซีย ที่มีเครือข่ายจากการเข้าไปลงทุนของ MUFG ใน Bank Danamon ของอินโดนีเซีย ทั้งนี้
ปัจจุบันกรุงศรีมี Footprint
อยู่ใน 5 ประเทศอาเซียน ยังไม่รวมเครือข่ายของ MUFG ที่มีอยู่
7 ประเทศ โดยรวมแล้วกรุงศรีสามารถให้บริการครอบคลุม 9 ประเทศในอาเซียน
ไพโรจน์กล่าวว่า ส่วนที่สองของแกน Beyond Thailand คือ
การนำลูกค้าธุรกิจไทยออกไปลงทุนในอาเซียน ซึ่งจะร่วมมือกับ MUFG ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้เป็นอย่างดี
และมีจุดแข็งในด้าน Value
Chain Solutions ซึ่งกรุงศรีสามารถใช้เครือข่ายและนวัตกรรมจาก MUFG เข้ามาช่วยจึงส่งผลให้สามารถตอบโจทย์ได้ทั้งลูกค้าในไทยและระดับภูมิภาค
ทั้งนี้ MUFG มีโมเดลธุรกิจเด่นคือการนำลูกค้าญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในประเทศไทยและให้บริการครอบคลุมทั้งหมด
จนปัจจุบันกรุงศรีมีสายงานที่เรียกว่า JPC/MNC ที่ดูแลลูกค้าบริษัทญี่ปุ่นโดยเฉพาะ
ซึ่งเป็นสายงานที่มีความสำคัญมากต่อกรุงศรี ขณะเดียวกัน
มองว่ากรุงศรีสามารถใช้โมเดลเดียวกันนี้ในการให้บริการแก่ลูกค้าบริษัทจากไทย
ที่จะไปลงทุนในอาเซียนด้วยเช่นกัน
“เป้าหมายของกรุงศรี คือต้องการเห็น ASEAN Connectivity เป็นภาพแบรนด์กรุงศรี
โดยไม่ได้มองหาโอกาสแค่เข้าไปทำธุรกิจในประเทศอาเซียนเท่านั้น
แต่อยากให้คนในอาเซียนได้ใช้บริการจากกรุงศรี
แต่หากมีจุดไหนที่ไปไกลกว่าภูมิภาคก็เชื่อมต่อไปกับ MUFG ได้”
สำหรับ แกนที่ 2
การเป็นพันธมิตรที่ลูกค้าไว้วางใจผ่านการให้บริการที่เป็นมากกว่าสถาบันการเงิน (Beyond Banking) เพื่อลูกค้าธุรกิจและลูกค้ารายย่อย
ซึ่งกรุงศรีเชื่อในเรื่องพันธมิตรที่มีศักยภาพ
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการร่วมมือกับ Grab ผู้ให้บริการซูเปอร์แอป (Super App) ชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ตอนนี้สามารถให้สินเชื่อแก่ผู้ที่อยู่ในแพลตฟอร์มของ
Grab เป็นวงเงินรวมกว่า
2,000 ล้านบาทแล้ว
“กรุงศรีไม่ได้จำกัดการเป็นพันธมิตรว่าจะต้องเป็นพันธมิตรเฉพาะกรุงศรีเท่านั้น
แต่เปิดกว้างในการแข่งขัน โดยยึดความต้องการของลูกค้าเป็นศูนย์กลาง”
อย่างไรก็ดี
กรุงศรีได้ให้บริการที่เป็นมากกว่าสถาบันการเงิน
เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าโดยการสร้างระบบนิเวศที่สำคัญครอบคลุมใน 3
กลุ่มคือ ยานยนต์ ที่อยู่อาศัย และการพาณิชย์ (Mobility, Living, Commerce) ซึ่งในแต่ละกลุ่มจะสามารถให้บริการลูกค้าได้ครบในที่เดียว
เป็น One-Stop Shop อย่างแท้จริง
โดยไม่จำกัดว่าในนิเวศเหล่านั้นจะต้องเป็นบริการจากกรุงศรีอย่างเดียวเท่านั้น
แต่สามารถนำบริการจากพันธมิตรเข้ามาในแพลตฟอร์มของกรุงศรีได้ด้วย
สุดท้ายคือ แกนที่ 3
การเดินหน้าอย่างต่อเนื่องในการทำมากกว่าเทคโนโลยี (Beyond Tech) ด้วยการพัฒนาด้านดิจิทัลและนวัตกรรมเพื่อเชื่อมโยงความต้องการของลูกค้าเพราะเชื่อว่าเทคโนโลยีจะเป็นตัวเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของธุรกิจการเงินให้สามารถตอบสนองพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของลูกค้า
แต่ยังเชื่อว่า ความเป็นมนุษย์ (Humanize)
ยังมีความสำคัญอยู่
เพียงแต่ต้องเชื่อมโยงกับเทคโนโลยี
โดยเฉพาะคนในภูมิภาคเอเชียที่การพบปะกับมนุษย์ยังมีความสำคัญอยู่ ซึ่งเป็นข้อที่แตกต่างจากโลกตะวันตก
“การสร้างสมดุลระหว่างมนุษย์และเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่ต้องหาความเหมาะสม
เพราะลูกค้าแต่ละกลุ่มต่างกัน มีวัยต่างกัน มีพฤติกรรมที่ต่างกัน
บางกลุ่มอาจจะใช้มนุษย์กับเทคโนโลยีอย่างละครึ่งได้
แต่บางกลุ่มสามารถใช้เทคโนโลยีได้เต็มร้อย ซึ่งกรุงศรีกำลังศึกษา และที่สำคัญ
ต้องให้พนักงานเข้าใจในเรื่องนี้ด้วย ไม่ใช่กลัวเทคโนโลยี”
นอกจากนี้ กรุงศรีได้ร่วมมือกับ MUFG ดำเนินการตามแนวทางการทำธุรกิจ
ESG ด้วยเป้าหมายที่จะเป็นองค์กรที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงานของธนาคารภายในปี
2573 และจากการให้บริการทางการเงินภายในปี 2593
อีกทั้งยังมุ่งมั่นเป็นผู้นำด้านการเงินที่คำนึงถึง ESG และสนับสนุนลูกค้าให้บรรลุสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืนไปด้วยกัน
“ในปี 2565
กรุงศรีจะเป็นการเร่งสปีดเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามแผนในปีหน้า
โดยจะเน้นในสามแกนสำคัญและคนในองค์กรจะต้องร่วมกันขับเคลื่อนสามแกนนี้ไปพร้อมกัน
เพราะเชื่อว่าทั้งสามเรื่องจะนำพาให้กรุงศรีมุ่งสู่ความยั่งยืน
สามารถก้าวไปสู่ตลาดใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมคือระดับอาเซียน
ก้าวสู่การให้บริการที่ไม่ใช่แค่การธนาคารแบบดั้งเดิมด้วยการร่วมมือกับพันธมิตร
และนำเทคโนโลยีเข้ามาผสานกับมนุษย์อย่างไร้รอยต่อ”
ไพโรจน์กล่าวอีกว่า ปัจจุบัน
ผลจากการเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้ทำให้เห็นรายได้ที่มาจากธุรกิจต่างประเทศของกรุงศรีแล้ว
ในปี 2563 กรุงศรีมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศ 3 % ของรายได้รวมจนเพิ่มเป็น 6%
จากรายได้ของปี 2564 โดยเป็นการสร้างรายได้ที่มาจากธุรกิจใน 3
ประเทศที่ลงไปก่อนหน้าเท่านั้นยังไม่รวมเวียดนามและอินโดนีเซีย
ทำให้เชื่อว่าธุรกิจในอาเซียนจะสามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด
ซึ่งสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศที่กรุงศรีอยากเห็นในอนาคตคือ 10%
ด้วยศักยภาพของกรุงศรีเชื่อว่าสามารถทำได้มากกว่านั้น ภายใต้การทำงานแบบ Think Globally,Act Locally
สำหรับธุรกิจหลักในเครือของกรุงศรีมีแผนที่จะปรับการทำงานร่วมกันให้เป็นหนึ่งภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ชื่อว่า
One Retail โดยจะอาศัยฐานข้อมูลลูกค้าขนาดใหญ่ของกรุงศรีเพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เข้าถึงความต้องการเฉพาะตัวของลูกค้า
และประสานเป็นหนึ่งเดียวสร้างประสบการณ์ลูกค้าในทุกช่วงชีวิต เช่น
ลูกค้าที่ซื้อบ้านก็อาจจะมีความต้องการซื้อรถ
ลูกค้าที่ซื้อรถทำไมยังไม่มีบัตรเครดิต
ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นธุรกิจหลักของเครือกรุงศรีอยู่แล้วและจะเริ่มเห็นความชัดเจนจากแผนปฏิรูป
One Retail มากขึ้น
“กรุงศรีในวันนี้พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง
โลกเปลี่ยนแปลงเร็วมากการวางยุทธศาสตร์ต้องมองภาพแบบ Resilience คือเมื่อทรุดแล้วต้องฟื้นให้เร็ว
ต้องมองให้รอบด้าน Core
Business ของเดิมต้องเปลี่ยนแปลงและสร้างของใหม่ที่จะเป็นโอกาสสร้างรายได้แบบใหม่ๆ
ของกรุงศรี เป็นการเดินขนานสองทาง สร้างอนาคตและพัฒนาปัจจุบันไปด้วยกัน”
ในรูปแบบดิจิทัล : https://goo.gl/U6OnIi
รวมช่องทางการสั่งซื้อวารสารการเงินธนาคาร ทั้งฉบับปัจจุบันและฉบับย้อนหลัง ครบจบที่นี้ที่เดียว : https://bit.ly/3bQdHgt