WEALTH • GOLD

ราคาทองคำมีโอกาสขยับขึ้น ทดสอบแนวต้าน 1,786 ดอลลาร์

อย่างไรก็ดี ราคาทองคำเริ่มฟื้นตัวขึ้นในเวลาต่อมา โดยได้รับแรงหนุนส่วนหนึ่งจากแรงซื้อ Buy the Dip ประกอบกับเกิดการแสข่าวว่า จีนเตรียมผ่อนคลาย Covid-Zero policy หลังสำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า จีนเตรียมยกเลิกระบบ "เซอร์กิต เบรกเกอร์" (Circuit Breaker) ที่จะระงับเที่ยวบินระหว่างประเทศซึ่งมีการตรวจพบผู้โดยสารติดเชื้อ COVID-19 จำนวนมากที่สุดเข้าสู่จีน สถานการณ์ดังกล่าวหนุนเงินหยวนให้แข็งค่า ขณะที่ที่สินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกทะยานขึ้น จนกดดันดัชนีดอลลาร์ให้เริ่มอ่อนค่าลง

ไม่เพียงเท่านั้น ตัวเลขในตลาดแรงงานสหรัฐฯบ่งชี้การชะลอตัวลง แม้ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรจะเพิ่มขึ้นมากกว่าในเดือน ต.ค. แต่ก็ชะลอตัวจากเดือน ก.ย. ขณะที่อัตราว่างงานเพิ่มขึ้นเกินคาด สู่ระดับ 3.7% ส่วนค่าจ้างในเดือน ต.ค.ก็เพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนหน้าเช่นกันซึ่งกระตุ้นการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีแนวโน้มจะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค.

ประกอบกับเจ้าหน้าที่เฟดประสานเสียงส่งสัญญาณชะลอขึ้นดอกเบี้ยในอนาคต อาทิ นายชาร์ลส์ อีแวนส์ ประธานเฟดชิคาโก, นายทอม บาร์คิน ประธานเฟดริชมอนด์ และ นางซูซาน คอลลินส์ ประธานเฟดบอสตัน ต่างออกมากล่าวสอดคล้องกันว่า เฟดพร้อมที่จะดำเนินการอย่างระมัดระวังมากขึ้น และเตรียมพิจารณาชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งหน้า ซึ่งการคาดการณ์ดังกล่าวอยู่เบื้องหลังการร่วงลง 1.9% ของดัชนีดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นการร่วงลงในวันเดียวที่มากที่สุดนับตั้งแต่ พ.ย. 2015 จนเป็นปัจจัยหลักที่หนุนให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นกว่า 3% จนแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ที่ 1,681.91 ดอลลาร์ต่อออนซ์

อีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยหนุนราคาทองคำคือ การคาดการณ์ว่าพรรครีพับลิกันจะคว้าชัยในการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ ทั้งในกรณีของ Republican Sweep (พรรครีพับลิกัน ครองเสียงข้างมากทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา) และ Divided Congress (พรรครีพับลิกัน ได้รับชัยชนะในสภาผู้แทนราษฎร แต่เดโมแครตยังรักษาเสียงข้างมากในวุฒิสภา) เนื่องจากพรรครีพับลิกันมีแนวโน้มจะสกัดแผนการใช้จ่ายของรัฐบาลของประธานาธิบดีไบเดน ซึ่งนโยบายการคลังที่เข้มงวดขึ้นจะช่วยลดอัตราเงินเฟ้อ ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ไม่จำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าว


และการคาดการณ์ดังกล่าวกดดันดอลลาร์เพิ่ม สถานการณ์ที่กล่าวมาอยู่เบื้องหลังการทะยานขึ้นแรงจนทะลุกรอบ Downtrend ซึ่งกระตุ้นแรงซื้อตาม (Follow Buy) และแรงซื้อปิดสถานะขาย (Short Covering) จนผลักดันให้ทองคำพุ่งขึ้นต่อทดสอบระดับสูงสุดในรอบ 1 เดือนบริเวณ 1,716.77 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในวันที่ 8 พ.ย.

ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อหลังกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ดัชนี CPI ทั่วไป ปรับตัวขึ้น 7.7% ในเดือน ต.ค. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 7.9% และชะลอตัวจากระดับ 8.2% ในเดือน ก.ย. ส่วนดัชนี CPI พื้นฐานปรับตัวขึ้น 6.3% ในเดือน ต.ค. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 6.5% และชะลอตัวจากระดับ 6.6% ในเดือน ก.ย. ขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ปรับตัวขึ้น 8% ในเดือน ต.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่ง “ต่ำกว่า” ที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 8.3% และชะลอตัวลงจากระดับ 8.4% ในเดือน ก.ย. ตัวเลขดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่า เงินเฟ้อในสหรัฐอาจผ่านพ้นจุดสูงสุดไปแล้ว ซึ่งตัวเลขดังกล่าวยิ่งกระตุ้นการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ธ.ค.

นอกจากนี้ ราคาทองคำยังได้รับแรงหนุนจากแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย หลังมีรายงานขีปนาวุธของรัสเซียถูกยิงตกในหมู่บ้านพาร์เซโวดาว (Przewodow) ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของโปแลนด์ และใกล้กับพรมแดนที่ติดกับยูเครนส่งผลมีผู้เสียชีวิต 2 ราย เหตุการณ์ดังกล่าวก่อให้เกิดความวิตกว่า ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคอาจทวีความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากโปแลนด์ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่เป็นสมาชิกนาโต้ ปัจจัยที่กล่าวมาทั้งหมดหนุนให้ราคาทองคำทดสอบระดับสูงสุดในรอบเกือบ 3 เดือนที่ 1,786.16 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในระหว่างการซื้อขายของวันที่ 15 พ.ย.


แต่เนื่องจากราคาทองคำปรับตัวขึ้นจนเข้าสู่สภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) ทำให้ราคาทองคำเริ่มเผชิญกับแรงขายทำกำไร ประกอบกับเกิดแรงขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย หลังจากเลขาธิการองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่ขีปนาวุธซึ่งถูกยิงตกในโปแลนด์นั้นไม่ได้ถูกยิงจากรัสเซีย โดยเป็นขีปนาวุธของระบบป้องกันภัยทางอากาศของยูเครนที่พลาดเป้า ซึ่งช่วยคลี่คลายความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ลง

ในขณะเดียวกัน ตลาดเริ่มกลับมาคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะยังคงเดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ย และยังไม่เร่งรีบในการยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แม้ว่าจะชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยลงก็ตาม เนื่องด้วยเจ้าหน้าที่เฟดหลายรายกลับมาส่งสัญญาณในเชิง Hawkish อีกครั้ง อาทิ นายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟดเซนต์หลุยส์ ที่กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายในขณะนี้ยังไม่ได้อยู่ในกรอบที่ถือว่ามีการคุมเข้มมากเพียงพอชี้เฟดจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยสู่ระดับ 5.00-5.25% เป็นอย่างน้อยจากระดับปัจจุบันที่ต่ำกว่า 4.00% เพื่อให้อยู่ในระดับเข้มงวดเพียงพอในการควบคุมอัตราเงินเฟ้อ

และ นางซูซาน คอลลินส์ ประธานเฟด สาขาบอสตัน เปิดเผยว่า แทบไม่มีหลักฐานว่าแรงกดดันด้านราคากำลังปรับตัวลง ดังนั้น เฟดอาจจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 75 bps เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ปัจจัยที่กล่าวมากลับมาหนุนดัชนีดอลลาร์ให้แข็งค่าและส่งผลเชิงลบให้ราคาทองคำเกิดการพักตัวลงมาเคลื่อนไหวบริเวณ 1,736.70 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในวันที่ 21 พ.ย.

 

สำหรับเดือนธันวาคม แนะนำติดตาม

         - การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันที่ 13-14 ธ.ค. 2022 คาดว่าจะปรับขึ้นเพียง 0.50% หลังปรับขึ้นครั้งละ 0.75% ติดต่อกัน 4 ครั้ง นักลงทุนจับตาผลการประชุม เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟดในระยะถัดไป อย่างไรก็ตาม ประธานเฟดสาขาบางท่าน ยังคงสนับสนุนให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 4.50-4.75% ภายในฤดูใบไม้ผลิปี 2023 เนื่องจากเฟดเดินหน้าปรับขึ้นต้นทุนการกู้ยืมเงินแบบต่อเนื่อง เพื่อสกัดเงินเฟ้อที่เคลื่อนไหวในระดับสูงจนเกินไป

         แต่อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังสหรัฐฯ รายงานว่า หนี้สาธารณะของสหรัฐเพิ่มสูงขึ้นเป็น 31.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ทางด้านคณะกรรมการบริหารงบประมาณแผ่นดินสหรัฐ ประเมินว่า นโยบายของไบเดนจะทำให้ยอดขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้น 4.8 ล้านล้านดอลลาร์ระหว่างปี 2021-2031 แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่กำลังเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ส่งผลให้ ต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบบาลสหรัฐสูงขึ้น ซึ่งกำลังเป็นปัญหาใหญ่สำหรับสหรัฐ และปัญหาขยายวงกว้างขึ้นเป็นประเด็นทางการเมืองสำหรับประธานาธิบดีโจ ไบเดน หลังสถานะทางการคลังของประเทศย่ำแย่ลง เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐฯยังคงต้องกู้ยืมเงินเพิ่มขึ้น เพื่อเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังการระบาดของโควิด-19 ทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้นเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แรงกดดัดังกล่าว กระตุ้นคาดการณ์ว่า นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดอาจจะส่งสัญญาณในระหว่างการแถลงข่าวว่า เฟดได้มีการหารือกันเกี่ยวกับการชะลอปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

         - จีนพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความเสี่ยงดังกล่าวอาจขัดขวางความพยายามของจีนในการเปิดประเทศ ขณะที่ตลาดการเงินวิตกกังวลว่า สถานการณ์โควิด-19 ที่ย่ำแย่ลงในจีนอาจจะทำให้รัฐบาลกลับมาใช้มาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดอีกครั้ง ทั้งนี้ ทางการจีนสั่งล็อกดาวน์เขตไป๋อวิ๋นในมณฑลกว่างโจวเป็นเวลา 5 วัน และสั่งล็อกดาวน์เมืองสือจยาจวง ซึ่งเป็นเมืองหลวงของมณฑลเหอเป่ยและตั้งอยู่ใกล้กับกรุงปักกิ่ง โดยสั่งให้ระงับการเรียนการสอนในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย และสั่งให้ประชาชนอยู่แต่ในบ้านเป็นเวลา 5 วัน หลังจากพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์ดังกล่าวถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า ทางการจีนกำลังกลับมาใช้มาตรการควบคุมโควิด-19 ที่เข้มงวดตามแนวทางนโยบายโควิดเป็นศูนย์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจจีนและราคาทองคำ

        - สงครามการค้าสหรัฐฯกับจีน อาจใกล้ยุติ หลัง นางคามาลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ และ นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ได้แสดงถึงความจำเป็นในการปรับปรุงความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างสหรัฐฯและจีนให้ดีขึ้นในการหารือกันเป็นระยะเวลาสั้นๆ ในการประชุมสุดยอดเอเปคในช่วงเดือน พ.ย. ที่กรุงเทพฯ หลังจากที่ ปธน.สี ได้พบปะเจรจากับ ปธน.โจ ไบเดน ไปเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า ด้านกระทรวงการต่างประเทศของจีน เปิดเผยว่า ปธน.สี ได้แสดงความหวังว่า ทั้งจีนและสหรัฐฯจะเพิ่มความเข้าใจซึ่งกันและกัน, ลดความเข้าใจผิดและการคำนวณที่ผิดพลาด ตลอดจนทำงานร่วมกันเพื่อนำพาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้กลับมาสู่เส้นทางการพัฒนาที่ดีและมั่นคง”

         ท่าทีดังกล่าว สร้างความหวังว่าอาจเกิดการพิจารณาเรื่องการปรับลดภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่าการยกเลิกมาตรการจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนจะช่วยบรรเทาปัญหาเงินเฟ้อในสหรัฐ โดยการผ่อนปรนหรือการยกเลิกมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าทั้งหมด อาจเป็นหนึ่งในทางเลือกเพียงไม่กี่ทางที่ทำเนียบขาวจำเป็นจะต้องทำเพื่อฉุดต้นทุนสินค้าทุกประเภทให้ลดลง หลังจากที่เงินเฟ้อพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี

 

คาดการณ์แนวโน้มราคาทองคำ ในเดือนธันวาคม

ในส่วนของมุมมองด้านปัจจัยทางเทคนิค แม้ว่าแนวโน้มราคาทองคำจะมีการมีการฟื้นตัวขึ้นได้บ้างหลังจากราคาทิ้งตัวลง แต่ราคาฟื้นตัวขึ้นในระดับจำกัด ส่งผลให้ราคามีโอกาสแกว่งตัวในทิศทางอ่อนตัวลง เบื้องต้นแนะนำให้รอดูการสร้างฐานของราคา หากทรงตัวรักษาระดับไว้จนยืนเหนือแนวรับบริเวณ 1,676 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้อย่างแข็งแกร่ง โดยราคายังมีโอกาสขยับขึ้นและมีโอกาสทดสอบแนวต้าน 1,786 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ระดับสูงสุดของเดือน พ.ย.)

อย่างไรก็ตาม บรรยากาศการซื้อขายในสัปดาห์สุดท้ายของปี อาจมีปริมาณการซื้อขายเบาบาง เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ชะลอการเข้าตลาดก่อนช่วงวันหยุดยาวปลายปี และหลายประเทศหยุดยาวต่อเนื่องในช่วงเทศกาลวันคริสต์มาส (สัปดาห์สุดท้ายของเดือน ธ.ค.) ซึ่งกรอบการเคลื่อนไหวของราคาทองคำมักจะแคบลงหลังช่วงเทศกาลคริสต์มาสจนถึงเทศกาลปีใหม่ จึงแนะนำนักลงทุนเน้นการทำกำไรระยะสั้นจากการแกว่งตัวของราคา โดยเข้าซื้อหากราคาย่อตัวไม่หลุดแนวรับบริเวณ 1,667-1,614 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (1,614 ระดับต่ำสุดของปี 2022) โดยไม่แนะนำให้เข้าซื้อทั้งหมดบริเวณแนวรับใดแนวรับหนึ่ง ควรเหลือเงินทุนเพื่อซื้อเฉลี่ยหากราคาหลุดแนวรับแรก ควรตัดขาดทุนหากราคาหลุดแนวรับโซน 1,614 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และให้แบ่งขายทำกำไรเมื่อราคาดีดตัวขึ้นโดยประเมินบริเวณแนวต้าน 1,786-1,829 ดอลลาร์ต่อออนซ์