ปฏิรูปกฎหมายธุรกิจอสังหาฯ รองรับต่างชาติที่มีศักยภาพสูง ทางเลือกหรือขายชาติกันแน่?
การปลดล็อกข้อจำกัดต่างๆ ในการถือครองกรรมสิทธิ์ หรือสิทธิการเช่าของอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยตามข้อเสนอนี้ ผมเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับประเทศไทยในระยะยาว และไม่ถือว่าจะเป็นการขายชาติแต่อย่างใด แต่เป็นทางเลือกที่ต้องเลือกเพื่ออนาคตประเทศไทย
ผมขออนุญาตนำหัวข้อเรื่องการปฏิรูปกฎหมายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อรองรับการลงทุนของชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูง
ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงสูงประเทศไทย
พ.ศ.2565
มาเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังเป็นการขัดจังหวะของบทความเรื่องการเหลียวหลังมองอดีตของธุรกิจการเงินการธนาคารและตลาดทุนไทย
แลหน้าไปในอนาคต ที่ยังไม่จบครับ
เหตุผลที่นำหัวข้อเรื่องนี้มาเขียนถึง
เพราะว่าผมเพิ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็น กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ในคณะกรรมการสนับสนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย
(คสดช.) โดยนอกจากคณะกรรมการ คสดช.
ที่มาจากหัวหน้าส่วนราชการที่มีรองนายกรัฐมนตรีในฐานะประธาน
และข้าราชการระดับสูงจำนวน 9 ท่าน แล้วยังมีผู้ทรงคุณวุฒิอีก 3
ท่านรวมทั้งผม ที่มาจากภาคเอกชน ได้แก่ หม่อมหลวงชโยทิต กฤดากร คุณสนั่น
อังอุบลกุล คุณเกรียงไกร เธียรนุกูล
เพื่อจะกำหนดมาตรการในการดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศสี่กลุ่มหลัก
ให้เข้ามาในประเทศไทย
โดยตั้งเป้าว่า ภายในห้าปีนั้น
จะมีนักลงทุนทั้งสี่กลุ่มนี้เข้ามาในประเทศไทยไม่น้อยกว่า 1,000,000 คน
โดยปัจจุบันในระยะเวลา 1 เดือน ก็มีนักลงทุนต่างประเทศทั้งสี่กลุ่มยื่นคำขอมากว่า
1,000 รายแล้ว ก่อนการประกาศเป็นทางการ
การส่งเสริมนักลงทุนผู้พำนักระยะยาว (Long
Term Residence : LTR) แบ่งเป็น 4
กลุ่มใหญ่ ดังนี้
กลุ่มที่ 1 ประชากรโลกผู้มีความมั่งคั่งสูง (Wealthy
Global Citizen)
- มีทรัพย์สินมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า
1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- มีรายได้ไม่น้อยกว่า 80,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี
- ลงทุนในไทยไม่น้อยกว่า 500,000 ดอลลาร์สหรัฐ ในพันธบัตรรัฐบาลไทย การลงทุนโดยตรง หรืออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย
กลุ่มที่ 2
ผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ (Wealthy Pensioner)
- ต้องมีอายุ
50 ปีขึ้นไป และมีสถานะเป็นผู้เกษียณอายุ ณ
วันที่ยื่นคำขอ
- ต้องรับเงินบำนาญหรือมีรายได้ไม่น้อยกว่า 80,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี
กรณีรับเงินบำนาญ หรือรายได้ต่ำกว่า 80,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี แต่ไม่น้อยกว่า 40,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ต้องลงทุนไม่น้อยกว่า 250,000 ดอลลาร์สหรัฐ ในพันธบัตรรัฐบาล การลงทุนโดยตรง หรืออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย
กลุ่มที่ 3 ผู้ที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย (Work-From-Thailand Professional)
- ต้องมีรายได้ไม่น้อยกว่า 80,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี
- กรณีรายได้ต่ำกว่า 80,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี แต่ไม่น้อยกว่า 40,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ต้องสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทขึ้นไป หรือครอบครองทรัพย์สินทางปัญญา หรือได้รับเงินทุน Series A
- นายจ้างปัจจุบันต้องเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในประเทศใดๆ
หรือเป็นบริษัทมีการดำเนินงานมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี
และมีรายได้รวมกันในระยะเวลา 3 ปี ไม่น้อยกว่า 150
ล้านดอลลาร์สหรัฐนับถึงวันที่ยื่นคำขอ
กลุ่มที่ 4
ผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ (High-Skilled Professional)
- ต้องมีรายได้ไม่น้อยกว่า
80,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี
กรณีรายได้ต่ำกว่า
80,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี แต่ไม่น้อยกว่า 40,000
ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ต้องสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทขึ้นไป
ในสาขาวิทยาศาสตร์หรือเทคโนโลยีหรือมีความเชี่ยวชาญในสายงานที่เข้ามาทำในประเทศไทย
ทั้งนี้ ต้องเป็นการทำงานในกิจการที่อยู่ใน
อุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่
อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวระดับคุณภาพ
อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ
อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหารที่มีมูลค่าเพิ่มสูง อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ อุตสาหกรรมการบิน
อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ อุตสาหกรรมดิจิทัล
อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ
อุตสาหกรรมที่สนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular
Economy) โดยตรงและมีนัยสำคัญ
เช่น การผลิตเชื้อเพลิงจากขยะ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการวิจัยพัฒนาเพื่ออุตสาหกรรมเป้าหมาย อุตสาหกรรมเป้าหมายอื่นๆ ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ตามที่คณะกรรมการนโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ สำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ให้ความเห็นชอบ
สิทธิประโยชน์ทางภาษีของนักลงทุนต่างประเทศ
1.ยกเว้นภาษีเงินได้ภาษีบุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว
2.เงินเดือนหลังหักภาษี
ณ ที่จ่าย
3.เสียภาษีในอัตรา 17% ของเงินได้พึงประเมิน (ลดจากอัตราก้าวหน้า 5-35%)
ประเภทที่ 1 - กลุ่มผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ
ประเภทที่ 2 - กลุ่มที่ต้องการทำงานในประเทศไทย
• ยกเว้นภาษีเงินได้ภาษีบุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว
• เงินได้ดังกล่าว
เป็นเงินได้จากการทำงานหรือกิจการในต่างประเทศ หรือ เนื่องจากทรัพย์ในต่างประเทศ
และได้นำเงินได้พึงประเมินเข้ามาในประเทศ
การปรับปรุงกฎหมายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย
ก็เป็นมาตรการสำคัญประการหนึ่ง
เพื่อรองรับการเข้ามาของนักลงทุนทั้งสี่กลุ่มดังกล่าว
ที่จะได้มาใช้จ่ายและอยู่อาศัยในประเทศไทย
รวมถึงจะได้บุคลากรที่มีทักษะเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เข้ามาทำงานในประเทศไทย
เพื่อสามารถพัฒนาธุรกิจในประเทศไทยในธุรกิจเป้าหมาย เช่น กิจการ Startup ธุรกิจ
BCG ธุรกิจ Health and Wellness เป็นต้น
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 28
กันยายน 2565 ที่ผ่านมา
ผมได้มีโอกาสไปกล่าวปาฐกถาในงานของสมาคม อสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย
ในหัวข้อที่ชื่อว่า
“การปฏิรูปกฎหมายเพื่อส่งเสริมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทางเลือกกับการขายชาติจริงหรือ”
บทความในตอนนี้
ผมจึงอยากจะนำข้อเสนอการปรับปรุงการถือครองที่ดินของชาวต่างชาติในประเทศไทยว่า
ประเทศไทยควรจะมีแนวทางเช่นไรในการที่จะปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย
เพื่อจะส่งเสริมธุรกิจดังกล่าวให้เกิดผลประโยชน์อย่างจริงจังกับประเทศไทย
โดยเฉพาะจากนักลงทุนต่างประเทศที่มีศักยภาพ
ปัจจุบัน
เป็นที่ทราบกันอยู่ทั่วไปว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความน่าอยู่ในอันดับต้นๆ
ของโลก
ถ้าหากประเทศไทยสามารถทำให้ชาวต่างชาติที่อยากจะเข้ามาอยู่เมืองไทยเป็นบ้านหลังที่สองของเขา
หรือเข้ามาเกษียณอายุในประเทศไทย หรือเข้ามาทำงานในประเทศไทย ก็จะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทย
เพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่มีค่าครองชีพที่ไม่สูงมากนัก และมีระบบสาธารณสุขที่ดี
สามารถดูแลสุขภาพของคนต่างชาติที่เข้ามาทำงาน
และผู้สูงอายุที่มาเกษียณอายุในประเทศไทยได้เป็นอย่างดี
อีกทั้งก็ยังจะทำให้ประเทศไทยอยู่ในสถานะที่สามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันสภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นในภูมิภาคและในโลก
รวมถึงวิกฤติโควิดและสงครามยูเครน-รัสเซีย
และความขัดแย้งระหว่างจีนกับประเทศสหรัฐอเมริกา
ยิ่งน่าจะทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่นักลงทุนหรือชาวต่างชาติที่มีฐานะ หรือคนทำงานที่สามารถทำงานได้ที่ไหนได้ในโลก
ก็สามารถเลือกเข้ามาทำงานในประเทศไทยได้
โดยผมอยากให้ประเทศไทยเป็นสวรรค์ของนักลงทุนที่มีศักยภาพสูงอย่างแท้จริง
ผมได้มีโอกาสเดินทางไปประเทศประเทศสิงคโปร์เมื่อไม่นานมานี้
ก็พบว่าคนสิงคโปร์รู้สึกว่าหากเกษียณอายุแล้วใช้ชีวิตในสิงคโปร์คงไม่พอเพียง
เพราะค่าครองชีพที่สูงขึ้น ถ้ามีโอกาสก็อยากจะย้ายมาอยู่ในประเทศไทย
เพราะประเทศไทยเป็นมิตรกับคนทุกประเทศ
ด้วยเหตุดังกล่าวนี้เอง นอกเหนือจากการเสนอให้มีการให้สิทธิประโยชน์วีซ่ากับกลุ่มสี่กลุ่มให้มีความสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยลดขั้นตอนไม่ว่าจะเป็นการขออนุญาต รวมถึงมาตรการภาษีบุคคลธรรมดาที่เสนอให้กับชาวต่างชาติ ปัจจัยเหล่านี้จะทำให้ชาวต่างชาติเหล่านั้นตัดสินใจที่จะเข้ามาอยู่ในประเทศไทยได้ง่ายขึ้น เมื่อมีนักลงทุนต่างชาติที่มีศักยภาพเข้ามามากขึ้น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็ควรได้รับอานิสงส์จากโครงการนี้ด้วย
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการถือครองอสังหาริมทรัพย์
เมื่อตอนเกิดวิกฤติต้มยำกุ้งในปี พ.ศ.2540
ได้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายที่ดินและกฎหมายอาคารชุดที่ขยายอัตราที่คนต่างชาติจะซื้อได้ให้ได้ถึงร้อยละ
49% แต่มีเงื่อนไขมาก
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกู้เงินต้องเป็นการนำเงินจากต่างประเทศไม่สามารถกู้เงินในประเทศไทยได้
หรือมาตรการการให้ซื้อที่ดินตามกฏหมายที่ดินที่ให้ซื้อเป็นที่พักอาศัยได้
โดยถือได้ไม่เกินหนึ่งไร่
แต่มีการลงทุนตามกฎกระทรวงที่จะต้องมีการนำเงินเข้ามาอย่างน้อย 40
ล้านบาท และมีเงื่อนไขกำหนดไว้
ซึ่งตั้งแต่กฎหมายใช้บังคับมา
ก็มีการขออนุญาตถือที่ดินเพียง 8 รายเท่านั้น
ซึ่งแสดงว่ามาตรการกฎหมายที่กำหนดเงื่อนไขต่างๆ
ไม่ประสบความสำเร็จในการจะดึงดูดชาวต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยในช่วงเวลาดังกล่าว
ปัจจุบันคนต่างชาติไม่สามารถถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินเพื่ออยู่อาศัย
หรือ บ้านพักอาศัย (ยกเว้น ได้รับส่งเสริม BOI) จึงเป็นการซื้อบ้านตากอากาศในภูเก็ต
สมุย
มีวิธีที่หลีกเลี่ยงโดยทำการตั้งบริษัทขึ้นมาและบางครั้งการตั้งบริษัทก็กลายเป็นบริษัทไทยเทียมที่มีตัวแทนเป็นผู้ถือหุ้นคนไทยอันเป็นการผิดกฎหมาย
แต่ทั้งนี้
กรมที่ดินเองก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ละเอียดนัก
อีกทั้งยังเป็นช่องทางให้เกิดการทุจริตของเจ้าพนักงานที่ดินในการพิจารณารับจดทะเบียนเพราะเป็นการใช้ดุลยพินิจ
ภายหลังการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ดังกล่าวนั้น
ก็ไม่สามารถจะกำกับดูแลให้เกิดความโปร่งใสว่า ความจริงแล้วนักลงทุนต่างชาติควรจะมีโอกาสถือครองที่ดินได้โดยตรงชัดเจนและโปร่งใสมากกว่า
นอกจากนี้
การจดทะเบียนการเช่าตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของประเทศไทยก็กำหนดให้จดทะเบียนการเช่าได้เพียง
30 ปี แต่มีบางกรณี บางเขต สามารถจดได้ถึง 60 ปี
หลังจากที่มีการจดทะเบียนการเช่าไปแล้วระยะหนึ่งระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง
ซึ่งก็เกิดความลักลั่นและความไม่ชัดเจนในการรับจดทะเบียนของนายทะเบียนในแต่ละแห่ง
รัฐบาลจึงควรทำให้โปร่งใสชัดเจน
ในปี 2542
มีการออกกฏหมายการเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรมที่มีกำหนดเวลาการเช่าไม่เกิน
50 ปี
แล้วก็มีการกำหนดเงื่อนไขไว้มากมายจนกระทั่งมีผู้จดทะเบียนการเช่าดังกล่าวได้เพียง
30 กว่ารายเท่านั้น
อีกทั้งกฎหมายยังไม่เอื้ออำนวยในการจดทะเบียนการเช่าเพื่ออยู่อาศัยแต่อย่างใด
แนวคิดของการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย ไม่ว่าจะเรื่องการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ หรือการเช่า จึงควรมีการปรับปรุงเพื่อรองรับการเข้ามาของนักลงทุนที่มีศักยภาพจากต่างประเทศ อันจะเกิดประโยชน์กับประเทศไทยเป็นการส่วนรวม ไม่ใช่เป็นการขายชาติอย่างที่ถูกกล่าวหา เพราะที่ดินดังกล่าวก็ยังคงอยู่ในประเทศไทย คนเหล่านั้นจะมาใช้จ่ายในประเทศไทย
ข้อมูลการอนุญาตให้ชาวต่างชาติถือครองอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศในภูมิภาคเอเชีย
1.ประเทศมาเลเซียคนต่างชาติมีสิทธิ์ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้
หากได้รับอนุญาตจากหน่วยงานของรัฐแต่ละรัฐ
2.สิงคโปร์ชาวต่างชาติสามารถถือครองอสังหาริมทรัพย์ได้โดยไม่ต้องขออนุญาต
เช่น ห้องชุดพักอาคารพาณิชย์
เว้นแต่จะต้องขออนุญาตหากเป็นที่ดินที่พักอาศัยว่างเปล่า
บ้านที่มีลักษณะเป็นตึกแถว บ้านพักตากอากาศ หรือ บ้านเดี่ยว ทั้งนี้
การอนุญาตจะพิจารณาเป็นรายไป เช่น ต้องมีการสนับสนุนเศรษฐกิจให้แก่ประเทศสิงคโปร์
3.อินโดนีเซีย
อนุญาตให้คนต่างชาติเช่า 30 ปี ต่อได้ 30 ปี
รวมเป็น 60 ปี
4.ประเทศเกาหลีและประเทศญี่ปุ่น
ไต้หวัน ไม่มีข้อจำกัดในการถือครองกรรมสิทธิ์ของชาวต่างชาติแต่ไม่สามารถทำงาน
หรือมีถิ่นที่อยู่หรือขอวีซ่าได้ซึ่งในทางปฏิบัติก็คงยากที่คนต่างชาติที่ไม่ได้ทำงานในประเทศนั้น
อยากจะถือครองกรรมสิทธิ์ในที่ดิน หรืออสังหาริมทรัพย์ ใน 3
ประเทศดังกล่าว
ยิ่งเมื่อพิจารณาประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นคู่แข่งของเราประเทศไทยที่มีค่าครองชีพสูง ผมเชื่อว่านักลงทุนต่างประเทศเป็นที่ต้องการ อยากจะเข้ามาอยู่ในประเทศไทย เพราะนอกจากความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายแล้ว ค่าใช้จ่ายต่างๆ และค่าครองชีพที่มีราคาถูกและคนไทยยังเป็นมิตรกับชาวต่างชาติอีกด้วย
ข้อเสนอการปรับปรุงกฎหมาย
ผมจึงได้ขอเสนอแนวทางในการพิจารณาปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
ดังนี้
1.แก้ไขให้สามารถถือครองที่ดินโดยคนต่างชาติเพื่อที่อยู่อาศัยได้โดยการแก้ไขกฎกระทรวงที่ออกตามกฎหมายที่ดินในมาตรา
96 ทวิ
ที่เดิมกำหนดเงื่อนไขไว้ยุ่งยากและมีผู้เข้าใช้สิทธิเพียง 8
รายเท่านั้น
โดยปัจจุบันนี้
กรมที่ดินได้เสนอร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการเงื่อนไขในการได้มาที่ดินไม่เกินหนึ่งไร่โดยจะต้องเป็นคนต่างด้าวที่เข้ามาตามประกาศกระทรวงมหาดไทยตามมาตรการนี้
(LTR) มีการนำเงินลงทุนมาไม่น้อยกว่า 40
ล้านบาท และต้องลงทุนไม่น้อยกว่าสามปีในธุรกิจหรือกิจการตามที่กำหนด เช่น
การลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์กองทุนในกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โดยใช้ที่ดินดังกล่าวได้ไม่เกินหนึ่งไร่
โดยเงื่อนไขนี้ก็จะเป็นประโยชน์ให้กับการลงทุนต่างชาติที่ไม่ได้ใช้สิทธิ์
กฎหมายส่งเสริมการลงทุน
มาตรการนี้ก็จะสามารถทำให้ชาวต่างชาติซื้อเป็นที่พักอาศัยได้โดยไม่จำเป็นต้องจัดตั้งบริษัทและมี
Nominee หรือที่เรียกว่าบริษัทไทยเทียมแต่อย่างใด
นอกจากการแก้ไขร่างกฎกระทรวงนี้ที่สามารถกระทำได้อย่างรวดเร็ว
พร้อมกับกำหนดหลักเกณฑ์ให้มีหลักปฏิบัติที่สะดวกแก่ชาวต่างชาติที่จะซื้อที่ดินเป็นที่พำนักอาศัยได้ก็ควรพิจารณาอนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้าถึงการให้กู้เงินจากสถาบันการเงินประเทศไทยในการซื้อหรือเช่าได้
ซึ่งเข้าใจว่าทางธนาคารแห่งประเทศไทยได้ผ่อนคลายเกณฑ์ดังกล่าวแล้ว
เพื่อการมีรายได้เพิ่มเติมรัฐบาลอาจพิจารณาเพิ่มค่าจดทะเบียนซื้อขายของชาวต่างชาติให้สูงกว่า
กรณีที่ซื้อขายโดยคนไทยรวมทั้งการพิจารณากำหนดอัตราภาษีสูงสุดของภาษีโรงเรือนและที่ดินเพื่ออยู่อาศัยสำหรับคนต่างชาติกลุ่มนี้
อันจะทำให้ประเทศไทยและองค์การปกครองท้องถิ่นได้มีรายได้จากการถือครองที่ดินของนักลงทุนกลุ่มนี้เป็นพิเศษ
2.สำหรับการจดทะเบียนการเช่าซึ่งปัจจุบันกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ให้จดทะเบียนได้
30 ปี
แทนที่จะแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งจะต้องใช้เวลายาวนาน
ทางกรมที่ดินก็อาจจะออกประกาศวิธีปฏิบัติในการจดทะเบียนการเช่าเป็น 60 ปี
โดยจดทะเบียนครั้งแรก 30 ปี และจดทะเบียนต่อครั้งที่สองอีก 30
ปีไปเลย เพราะทางปฏิบัติในปัจจุบันก็สามารถทำได้อยู่แล้วขึ้นอยู่กับเขต
หรือสำนักงานที่ดินแต่ละแห่ง
ถ้าหากกรมที่ดินออกประกาศวิธีการปฏิบัติการจดทะเบียนการเช่าให้ชัดเจนดังกล่าว
ก็จะสามารถนำที่ดินหลายแห่งที่เจ้าของไม่ต้องการขายมาพัฒนาเพื่อก่อให้เกิดรายได้
รัฐบาลก็อาจกำหนดขึ้นทะเบียนการจดทะเบียนการเช่าของชาวต่างชาติให้สูงกว่าคนไทยได้เช่นเพิ่มจากร้อยละหนึ่งของก็จะเป็นการเช่าเป็นร้อยละสองหรือร้อยละ
1.5
แล้วแต่กรณีตามมูลค่าสัญญาเช่าที่กำหนดเช่นเดียวกับกรณีซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ข้างต้น
3.แก้ไขระเบียบให้ชาวต่างชาติที่จะซื้ออสังหาริมทรัพย์หรือเช่าอสังหาริมทรัพย์
สามารถกู้เงินในประเทศไทยได้โดยมีหลักประกันในการจำนองที่ดินหรืออาคารชุดหรือสิทธิการเช่ามาเป็นหลักประกันกับสถาบันการเงินในประเทศไทยได้ด้วย
4.การแก้ไขประมวลกฎหมายที่ดินในการจัดสรรที่ดินให้คนต่างชาติสามารถซื้อที่ดินได้ไม่เกินร้อยละ
49 ของที่ดินที่นำมาจัดสรรทั้งหมดหรือที่ดินที่จัดสรรสามารถนำมาให้เช่าได้
30 ปีแต่ไม่เกิน 60
ปีก็จะเป็นประโยชน์เช่นกัน โดยกำหนดมูลค่าที่ดิน อาคาร ขั้นต่ำไว้
5.แก้ไขพระราชบัญญัติอาคารชุดให้สามารถถือครองได้ร้อยละ
100 ของโครงการ โดยกำหนดมูลค่าการลงทุนขั้นต่ำไว้
6.การแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ให้เช่าได้ 60 ปี
และคำมั่นจะให้เช่าได้อีก 30 ปี รวม 90 ปี
เช่นประเทศฮ่องกง
การปลดล็อกข้อจำกัดต่างๆ
ในการถือครองกรรมสิทธิ์หรือสิทธิการเช่าของอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยตามข้อเสนอข้างต้นนี้
ผมเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับประเทศไทยในระยะยาว และไม่ถือว่าจะเป็นการขายชาติแต่อย่างใดแต่เป็นทางเลือกที่ต้องเลือกเพื่ออนาคตประเทศไทย
ผมเห็นว่า
ประโยชน์ของการส่งเสริมธุรกิจการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยของชาวต่างชาติจะเป็นประโยชน์กับประเทศไทยทั้งในภาคธุรกิจไม่ว่าจะเป็นธุรกิจรับเหมาก่อสร้างธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
และผู้ที่เกี่ยวข้อง
โดยรัฐบาลยังสามารถมีรายได้จากภาษีจากการที่บุคคลเหล่านั้นเข้ามาลงทุนหรือเข้ามาอยู่ในประเทศไทย
การที่จะเกรงว่าจะทำให้คนไทยไม่มีที่อยู่และคนต่างชาติจะเป็นเจ้าของที่ดินทั้งประเทศน่าจะไม่ใช้เรื่องที่น่าเป็นห่วงเพราะทรัพย์สินเหล่านั้นก็ยังคงอยู่ในประเทศไทย
คงเป็นเรื่องมายาคติที่คนไทยกลัวเรื่องขายชาติ
ผมเชื่อว่าเราจะต้องก้าวข้ามมายาคติดังกล่าว
การกำหนดเงื่อนไขมูลค่าโครงการการลงทุนหรือราคาขั้นต่ำของที่ดินและอาคาร
ก็จะช่วยขจัดปัญหาไม่ต้องเป็นกังวลว่าชาวต่างชาติจะมาซื้อที่ดินถูก ๆ
เพื่อให้คนต่างชาติเข้ามาอยู่ในประเทศไทยและยังเป็นประโยชน์สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องบริษัท
Nominee หรือบริษัทไทยเทียมได้หากมีการปรับปรุงอัตราภาษีดังกล่าว
รัฐบาลสามารถเก็บภาษีรายได้ค่าธรรมเนียม รวมถึงภาษีอสังหาริมทรัพย์
และภาษีทรัพย์สินได้เพิ่มมากขึ้นด้วย
ถึงเวลาแล้วครับที่คนไทยทุกคนจะต้องช่วยกันคิดช่วยกันทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าอยู่สำหรับคนไทยและคนต่างชาติ
ที่จะช่วยเข้ามาพัฒนาประเทศไทยต่อไป