ความเสี่ยง : วิกฤติ หรือ โอกาส
“การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน” เป็นประโยคคุ้นหูจากคำโฆษณาในโทรทัศน์ วิทยุ และแหล่งข้อมูลออนไลน์ แต่นักลงทุนได้ฟังแล้วจะต่อยอดได้เพียงใด ก็อาจจะขึ้นอยู่กับมุมมองและความข้าใจเท่าทันประเด็น “ความเสี่ยง” ในการลงทุนแต่ละขณะ
ความเสี่ยง คือ...
“โอกาส/เหตุการณ์ที่มีความไม่แน่นอน หรือสิ่งที่ทำให้แผนงานหรือการดำเนินการอยู่ ณ ปัจจุบันไม่บรรลุวัตถุประสงค์/เป้าหมายที่กำหนดไว้” (ที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย) ในทฤษฎีตลาดทุน หรือแนวคิดต่างๆ ที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่าง อัตราผลตอบแทนและความเสี่ยง จะเห็นประโยคที่ว่า “High risk, High ‘expected’ return” ซึ่งแสดงถึง ความเสี่ยงมีความสัมพันธ์กับอัตราผลตอบแทนที่คาดหวัง แต่อย่างไรก็ดี ผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจริงนั้น อาจไม่เป็นไปตามที่คาดหวังทั้งหมด เมื่อความเสี่ยงเพิ่มสูงขึ้น อัตราผลตอบแทนมีโอกาสเกิดได้ทั้งใน เชิงบวก (กำไร) และ เชิงลบ (ขาดทุน) ได้เช่นเดียวกัน
วิกฤติ หรือ โอกาส
หากพิจารณาสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้
ทั้งภายในและภายนอกประเทศ มีหลายปัจจัยที่เป็นสาเหตุของความผันผวนในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยแวดล้อมต่างๆ
กับอุตสาหกรรมหรือหลักทรัพย์ ย่อมมี “โอกาส” ใน “วิกฤติ”
ที่สามารถสร้างผลตอบแทนแก่นักลงทุนในทางใดทางหนึ่งเสมอ
- สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่เกิดการระบาดระลอกใหม่โดยมีจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ยกว่า
20,000 ราย/วัน ตลอดจนยอดผู้เสียชีวิตที่สูง ยังคงจับตามองทิศทางการดำเนินนโยบายภาครัฐในด้านการควบคุมการแพร่ระบาด
ขณะที่การดำเนินงานภาคเอกชน แม้จะมีการฟื้นตัวมาระยะหนึ่งแล้ว
แต่ยังคงระมัดระวังในการตัดสินใจลงทุน
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน จะเป็นกลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม ซึ่งเป็นผลมาจากปริมาณนักท่องเที่ยวที่ปรับตัวลดลงหรือพฤติกรรมผู้บริโภคที่ลดการเดินทางออกนอกที่พัก (กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา. ข้อมูล ณ วันที่ 1 มีนาคม 2565)
(รูปที่ 1 – ยอดผู้ติดเชื้อ COVID-19 ประเทศไทยและทั่วโลก ที่มา: ourworldindata.org ข้อมูล ณ 28 มีนาคม 2565)
ในทางตรงกันข้าม กลุ่มยาและโรงพยาบาล
ได้รับผลประโยชน์จากสถานการณ์ดังกล่าว ทั้งความต้องการเครื่องมือแพทย์
หรือวัคซีนที่เพิ่มสูงขึ้น เพื่อตอบสนองและรองรับผู้ป่วย ทั้งกรณีผู้ป่วยเดิมและผู้ป่วยรายใหม่ที่มีอัตราการติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- สถานการณ์ความขัดแย้ง รัสเซีย กับ ยูเครน ยังมีความตึงเครียดและสูญเสียของทั้ง 2 ประเทศ รวมถึงความกังวลในกลุ่มประเทศยุโรป ซึ่งกดดันเศรษฐกิจทั่วโลก ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน มีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ย่างเข้าปี 2565 เป็นต้นมา โดยจะเห็นได้จากดัชนีราคาสินค้าโภคภัณฑ์ CRB ที่ปรับตัวเพิ่มจาก 250 จุดในช่วงต้นปี ขึ้นมาเป็น 325 จุด หรือเพิ่มขึ้นถึง 30% ในเวลาไม่ถึง 1 ไตรมาส
(รูปที่ 2 – CRB Index ที่มา: https://tradingeconomics.com ข้อมูล ณ 28 มีนาคม 2565)
- สถานการณ์เงินเฟ้อและนโยบายการเงินของประเทศสำคัญ จากแนวโน้มการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์และกลุ่มพลังงาน รวมกับแนวโน้มการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของอัตราเงินเฟ้อของประเทศสำคัญทั่วโลก ดัชนีราคาผู้บริโภค (อัตราเงินเฟ้อทั่วไป) ของประเทศไทย ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2565 อยู่ที่ระดับ 104.10 หรือเพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ในปีก่อนหน้า 5.28% สูงสุดในรอบ 13 ปี
(รูปที่ 3 – Thailand Inflation Rate ที่มา : https://tradingeconomics.com ข้อมูล ณ 28 มีนาคม 2565)
ณ วันที่ 17 มีนาคม 2565 มติที่ประชุมของ FOMC สหรัฐฯ ประกาศปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% พร้อมกับให้แนวทางเพิ่มเติมว่าน่าจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องไปในการประชุม FOMC สหรัฐฯ ตลอดทั้งปีนี้ รวมถึงยังมีมุมมองว่า การเติบโตของเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ยังเติบโตในระดับต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยตลาดรับรู้และคาดการณ์มาระยะหนึ่งแล้ว
ผลกระทบต่อการลงทุน
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ยังคงอยู่ในทิศทางขาขึ้น แม้ว่าจะมีปัจจัยเสี่ยงจากทั้งภายในและภายนอกประเทศอยู่บ้าง อาทิ ความขัดแย้งระหว่างประเทศ อัตราเงินเฟ้อ และการแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับที่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กยังคงได้รับประโยชน์จากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจภายในประเทศ เช่นเดียวกันกับตลาดหลักทรัพย์และเศรษฐกิจในหลายประเทศที่เริ่มฟื้นตัวจากช่วงที่ผ่านมาบ้างแล้ว
(รูปที่ 4 – SET Index ที่มา: https://www.set.or.th ข้อมูล ณ 28 มีนาคม 2565)
สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ
ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญให้ดัชนีราคาน้ำมันดิบและทองคำปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากช่วงต้นปี
สำหรับผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้ พบว่าอัตราผลตอบแทนในตลาดตราสารหนี้มีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงเดือนสิงหาคมในปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน
(รูปที่ 5 – อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของรัฐบาลไทยและสหรัฐอเมริกา ที่มา: tradingeconomics.com ณ 28 มีนาคม 2565)
จากสถานการณ์ข้างต้น ความเสี่ยงในปัจจุบันยังคงมีทั้งปัจจัย เชิงบวก และ เชิงลบ ต่อหลักทรัพย์แต่ละประเภท ซึ่งในบางมุมมอง การพิจารณาลงทุนในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น อาจได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าได้ในบางโอกาส เช่น หลักทรัพย์กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ในขณะเดียวกัน การลงทุนในตราสารหนี้ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือก แม้ว่าผลตอบแทนที่คาดหวังอาจไม่สูงเท่าหุ้นหรือสินค้าโภคภัณฑ์ แต่ก็เป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำและสามารถได้รับผลตอบแทนที่ค่อนข้างแน่นอนได้ ดังนั้น การพิจารณาลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทใด ก็ควรคำนึงถึงปัจจัยแวดล้อมที่เป็น “ความเสี่ยง” ต่อทุกการตัดสินใจลงทุนเสมอ
แนะนำแนวทางการลงทุน
สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง
การพิจารณาลงทุนในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์อาจเป็นทางเลือกในช่วงที่ยังไม่มีความแน่นอนของสถานการณ์โดยรวม
โดยปัจจุบัน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ส่วนนักลงทุนที่มุ่งเน้นการเติบโตของผลตอบแทนแต่อาจรับความเสี่ยงไม่ได้มากนัก
อาจพิจารณาลงทุนในหุ้นกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) หรือกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก
ซึ่งอาจรับประโยชน์จากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวในภาวะที่อัตราเงินเฟ้อสูงได้ดีกว่า
อย่างไรก็ตาม
สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ อาจพิจารณาลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น พร้อมกับหลีกเลี่ยงตราสารกนี้ระยะกลางจนถึงยาว
รวมถึงกลุ่มเทคโนโลยีที่ได้รับผลกระทบจากอัตราคิดลด (Discount Rate) ที่เพิ่มขึ้น
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการความแน่นอนสูง แนะนำเพิ่มสัดส่วนการลงทุนกองทุนตราสารหนี้ที่มีอายุตราสารคงเหลือไม่เกิน 1 ปี และนักลงทุนที่ต้องการได้รับผลตอบแทนสูงจากหุ้น แนะนำกองทุนหุ้นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ที่ธุรกิจยังเติบโตได้ดีและมูลค่าพื้นฐานอิงกับกระแสเงินสดปัจจุบันเป็นหลัก ส่วนนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ แนะนำสินค้าโภคภัณฑ์ เพื่อรับผลตอบแทนตามแนวโน้มการปรับตัวของราคาทองคำในปัจจุบัน
กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่แนะนำ ได้แก่
- ASP-DPLUS (กองทุนเปิด แอสเซทพลัส ตราสารหนี้ เดลี่ พลัส)
เน้นลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุคงเหลือเฉลี่ย 3 เดือน ถึง 1 ปี ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี 0.63% ย้อนหลัง 3 ปีเฉลี่ย 1.24% ต่อปี
- LHDEBT-A (กองทุนเปิด แอล เอช ตราสารหนี้) เน้นกระจายการลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐและเอกชน
ทั้งในและต่างประเทศ ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี 0.72% ย้อนหลัง 3 ปีเฉลี่ย 2.26%
ต่อปี
กองทุนหุ้นตลาดเกิดใหม่ที่แนะนำ ได้แก่
- ASP-SME (กองทุนเปิด
แอสเซทพลัส สมอล แอนด์ มิด แคป อิควิตี้) เน้นลงทุนใน SET และ
mai ในบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีการเติบโตสูง
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี 18.74% ย้อนหลัง
3 ปีเฉลี่ย 22.84% ต่อปี
- KT-CLMVT-A (กองทุนเปิดกรุงไทย หุ้น
ซีแอลเอ็มวีที ชนิดสะสมมูลค่า) เน้นลงทุนหุ้นกลุ่มประเทศกัมพูชา เมียนมา เวียดนาม
ลาว และไทย (CLMVT) ผลตอบแทนย้อนหลัง
1 ปี 27.81% ย้อนหลัง 3 ปีเฉลี่ย
15.39% ต่อปี
กองทุนสินค้าโภคภัณฑ์ที่แนะนำ ได้แก่
- UOBSC (กองทุนเปิด ยูโอบี สมาร์ท คอมโมดิตี้) เน้นการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน DWS Invest Enhanced Commodity Strategy LC ผตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี 61.88% ย้อนหลัง 3 ปีเฉลี่ย 16.80% ต่อปี
(กองทุนแนะนำโดยเทรเชอริสต์ ข้อมูล ณ 28 มีนาคม 2565)