ในสงครามต้องมีผู้กล้าที่ยอมสละชีพ
ตั้งแต่เดือนมกราคม 2563 มาจนถึงปัจจุบัน โลกเผชิญกับวิกฤติ COVID-19 ซึ่งอาจจะตามมาด้วยวิกฤติเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ซึ่งทั้ง 2 เรื่องนี้ยากที่บอกได้ว่าจะจบเมื่อไหร่ และจบในสภาพไหน
วิกฤติ COVID-19 มีข้อจำกัดที่ว่า
1. เรายังไม่มียาต้านทาน แต่อาจจะผลิตได้สำเร็จภายใน 12-18 เดือนข้างหน้า กับ
2. Facilities และบุคลากรทางการแพทย์จะไม่เพียงพอในการรับมือกับผู้ป่วย
ถ้าการแพร่เชื้อยังอยู่ในอัตราเร่ง...จึงเป็นที่มาของการสั่งปิดสถานที่ต่างๆ
เพื่อชะลอให้กำลังทางการแพทย์รับมือไหว และเป็นที่มาของ Work From Home กับการปิด หรือจำกัดการเข้าออกระหว่างประเทศ หรือจังหวัด
เมื่อต้องปิดสถานที่ต่างๆ โดยให้ทำงานทางไกล งดการท่องเที่ยว การแพร่ระบาดของโรคจึงลดลงได้ แต่ปัญหาใหญ่ก็ตามมาดังคาด กิจการต่างๆ ไม่ว่าจะขนาดเล็กหรือใหญ่ ล้วนขาดรายได้ เพราะคนเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้ชีวิตแบบ 360 องศา หลายแห่งต้องลดเงินเดือนพนักงาน และหลายแห่งต้องปิดตัว คนตกงาน ไม่มีปัจจัยดำรงชีวิต ส่งผลกระทบต่อสังคมในเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ฯลฯ
แน่ละ เมื่อมีมาตรการใดๆ ออกมา
ก็ต้องมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ มีการสนับสนุน มีการคัดค้าน จนถึงขนาดจองกฐินสาปแช่ง…ก็เป็นกันทุกประเทศนั่นแหละ
แต่จะอย่างไร รัฐบาลเขาก็ต้องเลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่งแบบไม่มีทางสายกลางให้เดิน
ระหว่างปล่อยไปตามธรรมชาติ ไม่ปิดกั้น ไม่ Lock Down อะไรทั้งสิ้น
เพื่อให้เชื้อแพร่กระจายจนคนมีภูมิคุ้มกัน
และเศรษฐกิจจะไม่เสียหายเพราะยังไปทำงานได้
กับชะลอการแพร่กระจายเพื่อให้ระบบสาธารณสุขรองรับไหวจนกว่าจะมียาต้านไวรัส ด้วยการ
Lock Down ซึ่งแน่ละ
จะส่งผลเสียต่อธุรกิจและจะมีคนตกงานเพิ่มขึ้นมาก
ผลก็คือรัฐบาลประเทศต่างๆ
รวมทั้งรัฐบาลบ้านเราเขาเลือกอย่างหลัง และมีการเตรียมการล่วงหน้าในการรับมือโดยจัดมาตรการการเงินการคลังแบบ
“ชุดใหญ่ไฟกะพริบ”
เพื่อประคับประคองให้พลเมืองของเขาผ่านพ้นความยากลำบากนี้ไปได้ เพราะเขาถือว่า “ชีวิตคนสำคัญที่สุด
อะไรทำได้ ช่วยได้ ต้องทำอย่างเต็มที่” เรียกว่า “ขอเอาชีวิตรอดในวันนี้ แล้วค่อยไปแก้หนี้ในวันหน้า” นั่นแหละ
เพราะถ้าไม่ทำก็อาจเกิดวิกฤติตัวที่ 3
คือความรุนแรงในบ้านเมืองอันเกิดจากคนไม่มีจะกิน
ซึ่งเลยเถิดไปถึงขั้นเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประเทศได้ เหมือนที่เคยเกิดในบ้านอื่นเมืองอื่นมาแล้วหลายยุค
ใครที่เป็นรัฐบาลในยุคนี้ล้วนน่าสงสารมาก
เพราะนอกจากจะแก้วิกฤติได้ยากแล้ว
ยังจะถูกด่าทั้งในวันนี้และโดนจองกฐินไปถึงวันหน้าได้อีกยาวนาน
โดยที่ท่านไม่มีทางเลือกอะไรเลย
ก็ขอเอาใจช่วย และแนะนำให้รัฐทำประกันการปฏิบัติหน้าที่
(โดยสุจริต) ที่จะ Cover ท่านได้ตลอดชีวิตในกรณีมีการฟ้องร้องอะไรในอนาคต
และการประกันนั้นควรครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปต่อสู้คดีและค่าทนายต่างๆ
เอาไว้ด้วย...ในสงครามต้องมีผู้กล้าที่ยอมสละชีพ
ยังมีเรื่องที่น่าสนใจเพิ่มเติม …
คุณวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ท่านสรุปผลการประชุมทางไกล 90 คน ของนักวิเคราะห์อนาคต นักออกแบบ นักเทคโนโลยี ผู้ออกแบบนโยบายสาธารณะหลายประเทศทั้งในยุโรปและสหรัฐฯ ที่สำรวจประเมินด้วยซอฟต์แวร์ที่พัฒนาโดย MIT จนรวมความคิดเห็นมาได้ว่า ถ้า COVID-19 ต้องอยู่กับสังคมโลกไปแบบยาวข้ามปี...จะเกิดอะไรขึ้นกับสังคมฝรั่ง (สังคมไทยก็น่าจะไม่หนีกันเท่าไหร่)…ท่านระบุว่า
1. เลือกที่จะปล่อยกลไกตลาดให้จัดตัวเองไป
ฝรั่งตั้งชื่อแบบจำลองแรกนี้ว่า "Piramid" ซึ่งมีผู้อยู่บนยอดพีระมิดน้อยราย มีฐานไล่ลำดับทับเรียงเอาเปรียบกันลงมาเรื่อยๆ จนถึงข้างล่างสุด นั่นคือกลุ่มผู้มั่งมีจะเข้าช้อนซื้อสินทรัพย์จากผู้เดือดร้อนในราคาถูกๆ…ถ่างความเหลื่อมล้ำที่มีอยู่เดิมให้หนักขึ้นไปอีก
ผลก็คืออีกไม่นาน สังคมที่ถูกเอาเปรียบจะหา "แพะมารับบาป" เพราะความโกรธ
กลุ่มการเมืองในสังคมฝรั่งจะผุดกลุ่มใหม่ๆ
มากมาย มาชี้นิ้วและนำม็อบออกมาเพื่อหา "แพะ"
กลุ่มมาเฟียติดอาวุธในมุมมืดจะแสดงตนทั้งเพื่อคุ้มครองและฉกฉวย
แน่นอนว่าทุกรัฐที่ปล่อยไปจนต้องตกอยู่ในสภาวะแบบนั้นจะไม่มีทางเลือกอื่น
นอกจากต้องใช้กำลังของรัฐที่เหนือกว่าเข้าปรามและควบคุม และอาจมีการปะทะ
เกิดความรุนแรงเพื่อให้สังคมอยู่ในความสงบนิ่งทั้งทางออนไลน์และนอกออนไลน์ ซึ่งรัฐเหล่านั้นจะจำต้องล้วงข้อมูลบุคคลออกมาวิเคราะห์และจำแนกความเสี่ยงกันยุ่งนุงนัง
สังคมจะเกิดความกดดันและการแกะแก้ที่ซับซ้อนเพราะทุกอย่างจะไม่มีความไว้เนื้อเชื่อใจกัน และกว่าจะสงบลงได้ก็จะนาน
2. การปรากฏขึ้นของผู้ชี้นำที่น่านับถือ
อันนี้ฝรั่งเลือกใช้ศัพท์แทนด้วยคำว่า "The
leviathan" โดยแนะว่า รัฐบาลฝรั่งอาจต้องเลือกใช้อำนาจเข้าควบคุมกิจการเท่าที่จำเป็น
เพื่อบริหารให้เจ้าใหญ่ในตลาดต้องกระจายทรัพยากร
กระจายสินค้าและของจำเป็นให้ไปถึงมือภาคประชาชนอย่างเป็นธรรม
จากนั้นรัฐก็ลงทุน
(อาจจะจากเงินกู้ยืมแบบต่างๆ) เพื่อนำมาเล่นบท "ผู้ว่าจ้างงานสาธารณะรายใหญ่"
ทำให้ประชาชนมีงานทำ ได้ค่าตอบแทนตามสมควร
และงานที่จ้างจะเน้นที่ความยั่งยืนของอนาคต และ/หรือ เป็นความจำเป็นพื้นฐาน เช่น ได้ความสะดวก
สะอาด ปลอดภัย ได้ความเอื้ออาทรดูแลกันในสังคม ดูแลคนอ่อนแอ ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลังอย่างน่าหดหู่
แนวนี้ผู้วิเคราะห์ชี้ว่าต้องอาศัยผู้นำที่เสียสละสูงมาก
สร้างศรัทธาเชื่อมั่นให้คนในสังคมเห็นว่าไม่มี ใครได้เปรียบและทุกคนจะเริ่มยอมเหนื่อยยากไปด้วยกันจนกว่าสถานการณ์จะจบลง
อย่างไรก็ดี แนวทางนี้ตอนจบ ทุกคนจะต้องยอมเจออีก "ก๊อก” นั่นคือการร่วมชำระหนี้สาธารณะก้อนโตไปด้วยกัน แปลว่า ภาษีของฝรั่งในวันที่ฟ้าสว่าง จะต้องสูงขึ้น และฐานต้องกว้างขึ้นอย่างมาก แนวนี้เน้นปลุกระดมการรับผิดชอบร่วมกัน
3. รักษาบ้านเมืองด้วยการดูแลชุมชนให้เข้มแข็ง
ฝรั่งเรียกแนวนี้ด้วยคำว่า "The village" คือส่งมอบความไว้วางใจให้ชุมชนได้จัดการตนเอง ชุมชนจะเร่งสร้างระบบภายในที่พึ่งพากันเอง ทั้งการเงิน การดูแลความมั่นคงทางอาหาร และการได้รับปัจจัยสี่ หลายอย่างของชุมชนอาจมีการฝ่าฝืนกฎหมายและกติกากลางไปบ้าง แต่ไม่ใช่เพื่อฮุบมาเป็นของคนใดคนหนึ่งแต่ทำเพื่อชุมชนโดยรวม (ซึ่งจะมีทั้งที่เหมาะและไม่เหมาะ เช่น อาจตกลงยึดที่ป่า ลำน้ำหรือที่สาธารณะมาใช้ประโยชน์ชุมชนในระดับที่มากเกินไป
ในทางเลือกนี้
สิ่งที่จะเกิดตามมาคือ ชุมชนเข้มแข็งขึ้นทั้งการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ การปะทะประลองกำลังกันในระดับท้องถิ่นจะเกิดขึ้นมากมาย
แต่ในที่สุดจะสงบลงตามระดับการต่อรองที่ยอมรับกันเองได้ต่อไป
แต่ทั้งหมดนี้จะอยู่ได้อย่างเปราะบาง
เพราะชุมชนส่วนมากมักไม่มีความสมบูรณ์เพียงพอที่จะต้านภัยจากภายนอกได้นานนัก อีกทั้งจะก่อให้เกิดการเข้ารวมกลุ่มย่อยๆ
เพื่อให้กลุ่มตัวเอง "รอด" ด้วยการขีด กั้น กันผู้อื่นไม่ให้เข้าใกล้
ชุมชนอาจดูเข้มแข็ง แต่สังคมประเทศอาจจะต้องร้าวลึก
คุณวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ให้ความคิดต่อยอดว่า
การล็อกดาวน์ในแต่ละระดับที่นานพอ ย่อมทำให้มนุษย์ทุกคนปรับตัว และเมื่อปรับตัวนานพอก็จะกลายเป็นบุคลิกใหม่
เป็นมารยาทสังคมใหม่ การออกแบบร่วมกันว่าจะผสมผสานทางเลือกข้างต้นอย่างไรจึงเป็นโจทย์สำคัญที่เราคนไทยและเพื่อนๆ
รอบบ้านอาจนำไปขบคิดต่อ
“เรายังพอมีจังหวะ และยังไม่ช้าไปในการรื้อชุดความคิดเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนปฏิรูปประเทศ การกำหนดบทบาทของกันและกันในท่ามกลางโควิด ที่จะร่วมกันรับผิดชอบต่อส่วนรวม รับผิดชอบต่อการเปิดและการคลายล็อกลงตามจังหวะเมื่อเหมาะสม และพร้อมรับการต้องปิดล็อกดาวน์ใหม่ไปอีกเป็นจังหวะ...เป็นระยะ
หากใช้เวลานี้เรียนรู้พัฒนาสูตรทางเศรษฐกิจและสังคมแบบใหม่ๆ ไปด้วยกัน เราจะสามารถร่วมกันสร้างหรือผสมสูตรแห่งความสมดุลที่จะเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย และใช้เป็นฐานสร้างโอกาสให้อนาคตประเทศได้นานๆ ทั้งระหว่างล็อกดาวน์และเมื่อหลังโควิดก้าวผ่านไป”
อ่านที่ท่านเขียนก็บอกได้ว่าตรงใจ และขอสนับสนุนให้พวกเราช่วยกันคิด
เพื่อนำเสนอต่อผู้นำของประเทศในโอกาสที่เหมาะสม
โจทย์เปลี่ยน โลกเปลี่ยน
สิ่งแวดล้อมเปลี่ยน…นโยบายรัฐก็สามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมยิ่งขึ้นได้