ESG ความสมดุลการลงทุน กับความยั่งยืนเพื่อสร้างผลตอบแทน
หากพูดถึงการลงทุนในปัจจุบันหนึ่งในกระแสที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนทั่วโลก
คือ การลงทุนที่ให้ความสำคัญในเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล
หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า ESG
(Environment, Social, Governance) สมาคมการลงทุนอย่างยั่งยืนคาดว่าภายในปี
2025 สินทรัพย์ภายใต้การจัดการที่ลงทุนในธุรกิจ ESG จะมีมูลค่ามากกว่า 50 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
บลจ.ยูโอบี (สิงคโปร์)
ให้ความเห็นถึงความสำคัญของกระแส ESG
ไว้อย่างน่าสนใจว่า ปัจจุบันต้องสร้างความสมดุลระหว่างการลงทุนและความยั่งยืนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์การลงทุนอย่างยั่งยืน
เพราะในอดีตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ถูกมองว่าเป็นเพียงปัญหาจากการใช้ทรัพยากรร่วมกันโดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา
แต่ในปัจจุบันโลกได้มองปัญหานี้เปลี่ยนไปเป็นกระแสหลักที่แทบทุกหน่วยงานให้ความสนใจหาทางออกและร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหา
ทำให้ในปัจจุบันการนำข้อมูลและตัวเลขด้านความยั่งยืนได้เข้ามามีบทบาทในการวิเคราะห์ทางบัญชีและทางการเงินมากขึ้น
ขณะเดียวกันหน่วยงานกำกับดูแลหลายแห่งทั่วโลกได้ออกกฎเกณฑ์ใหม่ๆ ให้มีการรายงานด้านความยั่งยืนและความโปร่งใสเพิ่มขึ้น
โดยคาดว่าในอนาคตองค์กรต่างๆ
จะเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยากขึ้นหากไม่มีการปรับปรุงด้าน ESG
การเติบโตของสินทรัพย์
ภายใต้การจัดการที่ลงทุนในธุรกิจ ESG
สมาคมการลงทุนอย่างยั่งยืน (Global Sustainable Investment
Association) เปิดเผยว่า
สินทรัพย์ภายใต้การจัดการที่ลงทุนในธุรกิจ ESG มีมูลค่ามากกว่า 35 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี
2020 ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 30.6 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2018 โดยมีอัตราการเติบโตอยู่ที่
15% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และคาดว่าภายในปี 2025 หรือในอีก 3 ปีข้างหน้า จะมีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการจะสูงขึ้นมากกว่า
50 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ปัจจุบันเอเชียเป็นภูมิภาคที่เป็นผู้นำในกระแส ESG ไม่ว่าจะเป็นการลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอน
และการผลิตพลังงานทางเลือกใหม่ๆ
เนื่องจากเป็นภูมิภาคที่เติบโตเร็วที่สุดในโลกมีความต้องการใช้ทรัพยากรธรรมชาติมากที่สุด
และมีโอกาสทำลายสิ่งแวดล้อมจนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศมากที่สุดด้วย
ประเด็นเรื่องขยะอาหารและการลดใช้พลังงานถ่านหิน ถือความท้าทายอย่างมาก
แต่ก็เป็นโอกาสให้เกิดความคิดริเริ่มสิ่งใหม่ๆ ด้วยเช่นกัน
ด้านการลงทุนมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนที่ลงทุนธุรกิจ
ESG ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
อยู่ที่ 9.3 หมื่นล้านดอลลาร์ (ข้อมูล ณ เดือนกันยายน 2021)
ซึ่งนับว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวมทั้งโลก
แต่มีการเติบโตในอัตราที่สูงกว่า
ข้อมูลจากมอร์นิ่งสตาร์ เปิดเผยว่า ในเดือนตุลาคม
2021 เพียงเดือนเดียวการลงทุนในกองทุน ESG ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (ยกเว้นประเทศจีน)
สูงขึ้นถึง 54% คิดเป็นมูลค่า 1.2 พันล้านดอลลาร์
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด-19
ทำให้นักลงทุนเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของความยั่งยืนเพิ่มมากขึ้น
จากการสำรวจของ MSCI เมื่อเดือนกันยายน 2020 พบว่า
ผู้ลงทุนสถาบันในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ได้ลงทุนใน ESG เพิ่มขึ้นกว่า 79%
เนื่องจากการระบาดของโควิด-19 ด้วยเช่นกัน แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงมุมมองการลงทุน
ของกลุ่มสถาบันในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ทั้งในด้านการให้ความสำคัญและศักยภาพในการสร้างผลกำไรที่ยั่งยืน
3 มุมมองการลงทุน
Go Green
Megatrend
บลจ.ยูโอบีฯ ระบุว่า มี 3 มุมมองการลงทุน ประกอบด้วย
1. พลังงานหมุนเวียน การออกนโยบายต่างๆ ของทั้งภาครัฐและเอกชนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้สร้างโอกาสการลงทุนในบริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับพลังงานหมุนเวียน โดยสามารถแบ่งเป็น 2 กลุ่มบริษัทคือ
กลุ่มที่ 1
บริษัทที่สามารถจำกัดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้
จะสามารถลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้ของบริษัทได้เนื่องจากในการปล่อยคาร์บอนหนึ่งตันนั้นมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ
50-100 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นภาระของบริษัทที่มีการปล่อยคาร์บอนจำนวนมาก
กลุ่มที่ 2
บริษัทที่มีส่วนร่วมในการเพิ่มศักยภาพด้านพลังงาน
รวมถึงการผลิตและใช้พลังงานหมุนเวียน ข้อมูลจาก IEA World Energy Investment 2021
แสดงให้เห็นว่า 70% ของบริษัทที่เข้าลงทุนในพลังงานใหม่ๆ นั้นจะเน้นลงทุนในพลังงานหมุนเวียน
ทดแทนการลงทุนในพลังงานจากถ่านหินและเชื้อเพลิงฟอสซิล
โดยเฉพาะพลังงานลมและแสงอาทิตย์ ซึ่งในปัจจุบันสามารถให้ลัพธ์ได้มากกว่าเมื่อ 10
ปีก่อนถึง 4 เท่า ซึ่งทั้ง 2
กลุ่มนั้นมีส่วนช่วยให้ห่วงโซ่เทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน ไม่ว่าจะเป็น
ผู้ผลิตอุปกรณ์ผู้ผลิตวัตถุดิบในการแปลงพลังงาน การเก็บรักษา
และแจกจ่ายพลังงานหมุนเวียนได้อานิสงส์ไปด้วย จากความต้องการเทคโนโลยีใหม่ๆ
ในอุตสาหกรรมที่ต้องการลดการปล่อยคาร์บอน เช่น
การใช้พลังงานจากไฮโดรเจนและเครื่องบินไฟฟ้าในธุรกิจการบินและการเดินเรือ
หรือการนำเทคนิคการผลิต เช่น การกรองด้วยเยื่อสำหรับธุรกิจอาหารและเครื่อง
ทำให้ลดการใช้พลังงานได้ถึง 90%
2. อสังหาริมทรัพย์ที่รักษ์สิ่งแวดล้อม
ปัจจุบันทั้งภาครัฐและเอกชนในเอเชีย
กำลังผลักดันให้มีอาคารรักษ์สิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยคาร์บอนของอาคารที่มีอยู่
ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นผลดีอย่างมากต่อสิ่งแวดล้อม
แต่ยังสามารถสร้างโอกาสในการลงทุนขึ้นด้วย นโยบายของทางการมีความชัดเจนมากขึ้น
ในการสร้างอาคารที่รักษ์สิ่งแวดล้อมทั่วเอเชีย โดยมีประเทศที่มีนโยบายที่โดดเด่น
ดังนี้
สิงคโปร์ - อาคารใหม่ๆ
มีศักยภาพในการลดการใช้พลังงานลงถึง 50% เมื่อเทียบกับเมื่อปี 2000
และจะสามารถลดลงถึง 80% ภายในปี 20300
เกาหลีใต้ - มีการตั้งงบการลงทุนไว้ถึง 6
หมื่นล้านดอลลาร์ สำหรับการก่อสร้างตึก Zero-Energy หรือตึกไร้การใช้พลังงาน
และการจัดหาแหล่งพลังงานยั่งยืน
ไทย -
ความต้องการการใช้พลังงานของอาคารจะต้องลดลงร้อยละ 30 ภายในปี 2579
เวียดนาม - มีแผนที่จะปรับปรุงการผลิตและใช้วัตถุดิบที่ยั่งยืนสำหรับการผลิตซีเมนต์ และวัสดุก่อสร้าง
จากการสำรวจของ Jones Lang LaSalle (JLL) พบว่า 70% ขององค์กรต่างๆ ยินดีลงทุนเพิ่มในอาคารที่ได้รับการรับรองว่ารัก เพราะ ESG ได้กลายมาเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดขององค์กร แต่ในปัจจุบันอาคารที่รักสิ่งแวดล้อมยังมีจำนวนจำกัดและยังต้องใช้เวลาในการพัฒนา จึงมีค่าเช่าและราคาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ในทางตรงกันข้าม อาคารที่ยังไม่สามารถปรับตัวให้เป็นไปตามมาตรฐานทางสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ จะเริ่มเสื่อมความนิยมไป
ดังนั้น ความต้องการอาคารเพื่อสิ่งแวดล้อมในเอเชียจึงสูงขึ้นมาก
โดยเฉพาะในอาเซียนที่สิงคโปร์กำลังมีการก่อสร้างอาคารเพื่อสิ่งแวดล้อมเป็นจำนวนมาก
จากการสำรวจของ World
Buildings Trends Study เกือบครึ่งหนึ่งของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในสิงคโปร์
เปิดเผยว่า กว่า 60% ของพอร์ตการก่อสร้างเป็นอาคารเพื่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้
องค์กรต่างๆ
ในสิงคโปร์กว่าครึ่งหนึ่งมีโครงการจะปรับปรุงอาคารเดิมให้เป็นอาคารเพื่อสิ่งแวดล้อม
เพื่อให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์เรื่องสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ที่ออกมา แม้จะต้องลงทุนสูง
แต่ก็คาดว่าจะสามารถคืนทุนได้ภายในเวลาไม่เกิน 5 ปี
3. การเงินเพื่อสิ่งแวดล้อม
เอเชียเป็นภูมิภาคหลักในการออก Green
Bonds หรือตราสารหนี้เพื่อสิ่งแวดล้อม
ซึ่งเป็นตราสารหนี้ที่ออกมาเพื่อระดมทุนและลงทุนในโครงการใหม่ๆ
หรือโครงการเดิมที่ได้รับประโยชน์จากภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตลาด Green
Bonds ของเอเชียได้ขยายตัวอย่างมากและนับเป็นอีกโอกาสในการลงทุน
ปัจจุบันตลาด Green Bonds
มีมูลค่าตลาดสูงถึง 1.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
และคาดว่าตลาดจะปรับสูงขึ้นเป็นเท่าตัวภายในปี 2023 จากอัตราการเติบโตในอัตรา 49%
ต่อปีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
จีนและญี่ปุ่นเป็นผู้ออก Green Bonds มากที่สุดเป็นอันดับที่
2 และ 9 ตามลำดับ โดย Green
Bonds ที่จีนมีมูลค่าเกินครึ่งของตราสารทั้งหมดในเอเชีย
และออกเสนอขายมากที่สุดเมื่อปี 2021 มากกว่าตราสารหนี้ที่ออกโดยธุรกิจการเงิน โดย Green Bonds ในจีนนั้นมีบริษัทพลังงานและหน่วยงานที่รัฐสนับสนุน
แม้ตราสารบางตราสารจะยังไม่ถูกรองรับตามมาตรฐานสากลแต่ก็คาดว่าในอนาคตจะสามารถขยายออกขายในตลาดนอกประเทศจีนได้
ความน่าสนใจของตราสารหนี้เพื่อสิ่งแวดล้อม
และการลงทุนแบบยั่งยืนนั้นเติบโตเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง
และยังช่วยเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนในระยะยาวด้วย เนื่องจากการลงทุนในลักษณะนี้จะมีความผันผวนน้อย
องค์กรที่ให้ความสนใจกับ ESG
จะมีความยืดหยุ่นในการปรับตัวสูงและสามารถรับมือกับความเสี่ยงได้ดี
อีกทั้งไม่ค่อยถือครองทรัพย์สินที่ล้าสมัย
สุดท้ายการลงทุนลักษณะนี้จะเป็นการป้องกันความเสี่ยงไปในตัวด้วย
แตกต่างจากการลงทุนในสินทรัพย์ทั่วไป