StanChart กำไรพุ่ง สวนกระแสเศรษฐกิจซบเซา
สำนักข่าวชั้นนำ Reuters รายงานผลประกอบการของธนาคารระดับแนวหน้าอังกฤษ Standard Chartered Plc ของไตรมาสที่ 3 มีผลกำไรเพิ่มขึ้น 40% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจอังกฤษและเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง และ ภาวะเงินเฟ้อรุนแรง
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารระดับสูงของ StanChart นาย Bill Winters ได้ระบุว่า ผลการดำเนินงานที่สดใส ส่งผลให้ธนาคารปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์อัตราการเติบโตของรายได้ในปี 2022 เป็น 13% จากเดิมที่คาดไว้ราว 10% และยังมั่นใจว่าผลงานของธนาคารในปี 2023 จะยังคงน่าพอใจต่อไป
ปัจจัยสำคัญที่เอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจของ StanChart เข้มแข็งในปีนี้ แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะตกอยู่ในภาวะตึงเครียดจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยืดเยื้อ ซึ่งนำไปสู่ปัญหาพลังงานและอาหารขาดแคลน กดดันเงินเฟ้อปะทุไปทั่ว โดยเฉพาะในยุโรป รวมถึงอังกฤษ แต่ปรากฏว่า ตลาดธุรกิจสำคัญของ StanChart ได้แก่ ภูมิภาคเอเชีย แอฟริกา และตะวันออกกลาง ซึ่งสามารถประคองตัวจากวิกฤติเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี อีกทั้งบางประเทศยังได้รับอานิสงส์จากปัญหาพลังงานและอาหารขาดแคลนอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ธนาคารก็ได้รับผลกระทบเสียหายจากภาวะเศรษฐกิจอังกฤษที่อ่อนแอลงอย่างมากเช่นกัน โดยการขยายตัวของเศรษฐกิจอังกฤษในไตรมาส 3 หดตัว 0.2% และมีแนวโน้มที่จะก้าวสู่ภาวะถดถอยต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาสสุดท้ายของปี 2023 เนื่องจากอังกฤษเผชิญภาวะเงินเฟ้อรุนแรงในรอบกว่า 40 ปี และยังไม่มีท่าทีว่าจะคลี่คลายลงง่ายๆ ทำให้คาดว่าธนาคารกลางอังกฤษ จำเป็นต้องเพิ่มอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นเป็นลำดับ เพื่อยับยั้งเงินเฟ้อ ซึ่งอัตราดอกเบี้ยสูง ย่อมส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและการบริโภคอ่อนกำลังลง
แต่ถึงกระนั้น StanChart ก็ได้รับผลดีจากการประกอบกิจการธนาคารในภูมิภาคอื่นๆ อย่างน่าพอใจ โดยเฉพาะเอเชีย ซึ่งมีการเปิดประเทศจากมาตรการเข้มงวดโควิดบ้างแล้ว ส่งผลให้สถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศเหล่านั้นกลับมาคึกคักอีกครั้ง ถึงแม้ IMF จะลดการคาดการณ์อัตราการเติบโตของเอเชียในปีนี้ลง แต่ก็ยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับแถบชาติตะวันตก โดย IMF ประเมินว่าเอเชียจะเติบโตราว 4.0% เมื่อสิ้นสุดปี 2022
นอกจากนี้ ตะวันออกกลาง ก็นับเป็นอีกภูมิภาคหนึ่งที่ StanChart ได้รับประโยชน์อย่างเป็นกอบเป็นกำ เป็นผลจากธุรกิจน้ำมันเฟื่องฟู ปริมาณเงินสดหมุนเวียนในกลุ่มธุรกิจมีจำนวนมาก ทำให้ธนาคารสามารถช่วยบริหารจัดการเงินสดเหล่านั้นได้อย่างเต็มที่ และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ธนาคารมีรายได้จากการบริหารเงินสดให้แก่บริษัทลูกค้า จนสร้างรายได้ให้แก่ธนาคารเพิ่มขึ้นประมาณ 47% ในไตรมาสที่ 3
สำหรับปัจจัยอื่นๆ ที่ช่วยเอื้อหนุนความเข้มแข็งของ StanChart ในปีนี้ ได้แก่ การที่ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ใช้นโยบายดอกเบี้ยแพง เพื่อสกัดเงินเฟ้อ ส่งผลให้ธนาคารมีรายได้จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเพิ่มมากขึ้น โดยปกติการขึ้นอัตราดอกเบี้ย จะส่งผลดีแก่ผลประกอบการของธนาคารที่ดำเนินงานด้านธนาคารพาณิชย์ทั่วไป แต่สำหรับธนาคารที่เน้นการดำเนินงานด้านธนาคารเพื่อการลงทุน ก็อาจจะได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยแพง เพราะตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้อาจเผชิญภาวะซบเซา ส่งผลเสียแก่ธุรกิจด้านธนาคารเพื่อการลงทุน
ด้วยเหตุนี้ ธนาคารชั้นนำสหรัฐฯส่วนใหญ่ที่ประกอบกิจการด้านธนาคารเพื่อการลงทุนควบคู่กับธนาคารพาณิชย์ จึงเจอปัญหาผลประกอบการไม่แจ่มใสเท่าใดนัก เช่น ในไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมา ธนาคารสหรัฐฯที่มีผลกำไรลดลง ได้แก่ JPMorgan Chase ลดลง 17%, Citi ลดลง 25%, Morgan Stanley ลดลง 29% และ Goldman Sachs ลดลง 43% เป็นต้น ขณะที่ผลประกอบการของ StanChart ในไตรมาสที่ 3 มีกำไรก่อนหักภาษีเป็นจำนวน 1,390 ล้านดอลลาร์ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีเม็ดเงินราว 996 ล้านดอลลาร์
CEO Winters ได้เข้ามากุมบังเหียน StanChart เมื่อ 7 ปีก่อน โดยพยายามสร้างความมั่นคงให้แก่ธนาคารเป็นลำดับ ในช่วงแรกได้มีการปรับปรุงงบดุลของธนาคารให้สอดคล้องกับสถานการณ์ธุรกิจ และมีการลดพนักงานจำนวนมาก เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายของธนาคาร ปัจจุบันธนาคารมีพนักงานใน 59 ประเทศ จำนวน 85,000 คน
อย่างไรก็ตาม ธนาคารก็คำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงเช่นกัน โดยเฉพาะ ความขัดแย้งในภูมิภาคต่างๆ ของโลก รวมถึงความซบเซาของเศรษฐกิจจีน ที่มาจากภาคอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ ธนาคารได้มีมาตรการรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นอย่างเต็มที่ไว้แล้ว